หลังจากนั้นชาวต๋าต๋าก็มารุกรานชายแดน ฉางซิงโหวนำทัพต้านศัตรู เพียงไม่นานก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปจากสมองจนหมดสิ้น
จวบจนกระทั่งสิบสามปีให้หลัง เมื่อฉางซิงโหวยืนอยู่ตรงหน้าฉู่จิ่นเหยาก็นึกถึงเรื่องในยามนั้นขึ้นมาได้
‘ท่านลุงเลิกเหม่อลอยได้แล้วเจ้าค่ะ!’ ซูเหยายิ้มพลางเอ่ยว่า ‘ท่านมุ่งขึ้นเหนือไปตามทางนี้ก็จะออกจากหมู่บ้านได้ ข้ายังต้องกลับไปผ่าฟืนต้มน้ำ มิอาจพาท่านไปส่ง มิฉะนั้นหากท่านแม่ข้ากลับมา นางจะด่าทอข้าอีก’
ฉางซิงโหวขมวดคิ้ว ‘แม่นางน้อยเช่นเจ้ายังต้องผ่าฟืนต้มน้ำด้วยหรือ’
ในจวนโหวของเขาอย่าว่าแต่คุณหนู แม้แต่สาวใช้ที่ปรนนิบัติคุณหนูก็ไม่ได้ทำงานหนักเช่นนี้ คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่บุตรสาวสายตรงของเขาเกิดมาก็มีแม่นม สาวใช้ระดับหนึ่งสองคน และสาวใช้ระดับสองอีกสี่คนคอยปรนนิบัติประจำตัว มิหนำซ้ำข้างกายยังมีบ่าวไพร่ที่ญาติผู้ใหญ่ส่งมาอีกมากมายคอยติดตาม กล่าวได้ว่าไม่คลาดสายตาแม้เพียงชั่วขณะเดียว ยามคุณหนูสี่ฉู่จิ่นเมี่ยวเรียนเย็บปักถักร้อยแล้วเข็มตำนิ้วมือก็จะมีคนทั้งหลายรุมล้อม ทั้งทายาและเชิญหมอมา แต่แม่นางน้อยผู้นี้กลับต้องตื่นแต่เช้าตรู่ในฤดูหนาวที่หนาวจัดเช่นนี้เพื่อออกไปเก็บฟืน หลังกลับมายังต้องผ่าฟืนต้มน้ำ ทำความสะอาดลานบ้าน นางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเขามิใช่หรือ! ฉางซิงโหวรู้ดีว่าบุตรสาวคนโตและบุตรสาวคนเล็กมีชีวิตเช่นไร เพราะเหตุนี้เมื่อได้ยินแม่นางน้อยพูดเช่นนี้ถึงได้เสียใจอย่างยิ่ง และที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือครอบครัวชาวนาครอบครัวนั้นจงใจสลับตัวบุตรสาวตอนคลอด ทำให้ฉู่จิ่นเมี่ยวที่เดิมทีควรเป็นบุตรสาวชาวนาได้เข้าไปเสวยสุขในจวนโหว ในขณะที่บุตรสาวตระกูลโหวตัวจริงต้องถูกเลี้ยงดูในเรือนที่มีสภาพแวดล้อมไม่ดี เพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด แต่ถึงขั้นถูกพวกเขาใช้ให้ทำงานหนักอีกด้วย!
ฉางซิงโหวโกรธจนยากจะระงับ เวลานี้เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะพาแม่นางน้อยตรงหน้ากลับจวนด้วย เก็บชื่อของอีกฝ่ายไว้แล้วเรียกว่า ‘จิ่นเหยา’ ตามลำดับศักดิ์ของเด็กหญิงในตระกูล ส่วนสกุลซูนี้ก็เก็บไว้ให้บุตรสาวชาวนาของพวกเขาใช้เองก็แล้วกัน
ยามนี้ซูเหยาหารู้ไม่ว่าฉางซิงโหวกำลังคิดอะไร นางตอบคำถามฉางซิงโหวด้วยท่าทางจริงจังว่า ‘ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่สาวแต่งออกไปแล้ว ในเรือนมีข้าเป็นเด็กหญิงเพียงคนเดียว งานบ้านงานเรือนย่อมควรเป็นข้ารับผิดชอบทั้งหมด ตายแล้ว ท่านแม่ข้าตื่นแล้ว ข้าต้องกลับไปแล้วเจ้าค่ะ…’
‘ไม่ต้องกลับไปแล้ว’ ฉางซิงโหวกล่าว ‘เจ้ามิใช่คนสกุลซู ไปกับข้าเถิด’
เรื่องหลังจากนั้นก็เลือนรางอย่างยิ่งสำหรับซูเหยา ท่านพ่อซูที่แต่ไหนแต่ไรชอบตะคอกก่นด่าทุบตีอยู่ในเรือนหดกายอยู่ด้านข้างไม่กล้าปริปาก ท่านแม่ซูที่พอถูกท่านพ่อซูระบายอารมณ์ใส่ก็มาด่าทอซูเหยาพลางร้องห่มร้องไห้เสียงแหลม ซูเซิ่งผู้เป็นน้องชายก็คล้ายขลาดกลัวจนกลายเป็นนกกระทาไปแล้ว ส่วนซูฮุ่ยพี่สาวคนโตหลังได้ข่าวแล้วก็รีบกลับเรือน พอได้ฟังต้นสายปลายเหตุทั้งหมดก็เงียบกริบ มองฉู่จิ่นเหยาอย่างเงียบๆ
ซูเหยารู้สึกกลัวสายตาเช่นนั้น ต่อมาก็ถูกฉางซิงโหวพาตัวมาโดยไม่ฟังความเห็นผู้ใด นางได้นั่งอยู่บนรถม้าหรูหรางดงามที่ชั่วชีวิตเพิ่งเคยเห็น ร้องไห้พลางชะโงกตัวไปมองเรือนของตนเอง บิดามารดาที่อยู่ด้วยกันมาสิบสามปีไม่มีสักคนที่ออกมาส่งนาง มีเพียงพี่สาวคนโตวิ่งร้องไห้มาตลอดทางแล้วยัดห่อผ้าห่อหนึ่งให้นางผ่านหน้าต่างรถม้า
ในห่อผ้ามีเสื้อและกระโปรงผ้าฝ้ายซักสะอาดอยู่สองตัว นี่เป็นเสื้อผ้าที่นับว่าดูดีมีหน้ามีตาอย่างหาได้ยากในเรือน ซูเหยารู้ว่าพี่สาวมอบสิ่งเหล่านี้ให้นาง พอกลับไปจะต้องถูกบิดามารดาก่นด่าอย่างแน่นอน หากท่านพ่อซูโมโหจัดก็อาจจะลงไม้ลงมือได้ ส่วนทางบ้านสามีของพี่สาวจะว่าอย่างไรก็ยังบอกไม่ได้