แม้เรือนเจาอวิ๋นที่ฉู่จิ่นเหยาพักจะมีชื่อไพเราะน่าฟัง แต่ตำแหน่งที่ตั้งกลับค่อนข้างเปลี่ยว จวนฉางซิงโหวหันหน้าไปทางทิศใต้ แบ่งทางเดินเป็นสามทางคือทางทิศตะวันออก ตรงกลาง และทางทิศตะวันตก เรือนที่หรูหรางดงามและมีเกียรติที่สุดที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทางเดินตรงกลางคือเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าฉู่ ส่วนท่านโหวกับจ้าวซื่อพักในเรือนช่วงกลางของทางเดินกลาง ทางเดินสองฝั่งซ้ายขวาเป็นที่พักของบ้านสายอื่น ฉู่จิ่นเหยาเป็นบุตรสาวสายตรงของบ้านใหญ่ควรที่จะพักอยู่กับจ้าวซื่อ แต่จ้าวซื่อพักในเรือนหลัก เรือนสองฝั่งซ้ายขวามีคุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่พักอยู่แล้ว เรือนของคุณหนูใหญ่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้านหลังมีเรือนเล็กตั้งอยู่อิสระอีกเรือนหนึ่ง เป็นที่พักของคุณหนูสายรองคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าย้ายไปพักไม่ได้ หลังเรือนของคุณหนูสี่ยังมีเรือนเล็กว่างอยู่ ทว่านั่นเป็นที่สำหรับเก็บสินเดิมเจ้าสาวของจ้าวซื่อ จางหมัวมัวออกความคิดให้ขนสินเดิมเจ้าสาวไปไว้ที่ห้องด้านหลังเรือนหลักแล้วยกเรือนนี้ให้คุณหนูห้า แต่จ้าวซื่อบอกว่าห้องด้านหลังเรือนหลักชื้น เกรงว่าจะวางหีบไม้จันทน์แดงไว้ไม่ได้จึงได้หาเรือนที่ไม่ได้ใช้งานอีกเรือนหนึ่งตรงทางเดินทิศตะวันออกให้ฉู่จิ่นเหยาพัก
เรือนเจาอวิ๋นอยู่มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทางเดิน ทั้งไกลและเปลี่ยว มีคนน้อยยิ่งที่ยอมเดินมาไกลเพียงนี้ ฉู่จิ่นเหยามาที่นี่ก็พัอยู่ที่เรือนซึ่งแยกเป็นอิสระเพียงคนเดียว ลำพังดูจากพื้นที่มีขนาดใหญ่กว่าเรือนของคุณหนูใหญ่เสียอีก ทว่าความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ฉู่จิ่นเหยาคิดเงียบๆ ว่าแม้แต่ในหมู่บ้านของนาง บุตรชายบุตรสาวยังต้องอยู่ด้วยกันกับบิดามารดา ให้นางแยกออกมาอยู่คนเดียวเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจ้าวซื่อไม่ยินดีต้อนรับนาง ไม่อยากเห็นหน้านางแม้แต่น้อย
ซานฉาลูบผ้าแพรอวิ๋นจิ่นด้วยความดีอกดีใจ ในใจคิดว่านี่เป็นถึงผ้าแพรอวิ๋นจิ่นที่เป็นเครื่องราชบรรณาการ ถึงอย่างไรคุณหนูห้าก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ต้องเป็นพวกนางรับช่วงตัดเย็บ ยามตัดเย็บน่าจะลักส่วนหนึ่งมาเป็นสินเดิมเจ้าสาวของตนเองได้
ซานฉาชอบผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพื้นขาวทอลายบุปผากลมสีม่วงพับนี้จนละสายตาไม่ได้ แต่ฉู่จิ่นเหยากลับไม่สนใจโดยสิ้นเชิง
“เก็บไปเถิด”
“เก็บไปหรือเจ้าคะ” ซานฉาเสียดาย จับผ้าไว้ไม่อยากปล่อยมือ ติงเซียนก้าวไปหยิบ ซานฉาก็คว้าปลายอีกด้านไว้ไม่ยอมปล่อย ติงเซียงถลึงตาใส่นางอย่างเข่นเขี้ยวแล้วกล่าวขึ้น
“เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าคุณหนูพูดว่าอะไร”
คราวนี้ซานฉาถึงได้ปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจ มองติงเซียงนำผ้าแพรอวิ๋นจิ่นไปเก็บแล้วลั่นกุญแจไว้ มิหนำซ้ำยังเก็บกุญแจไว้ด้วย
“ข้าไม่มีงานให้พวกเจ้าทำแล้ว พวกเจ้าออกไปเถิด”
ติงเซียงกับซานฉามองหน้ากัน ในห้องคุณหนูต้องมีคนอยู่ตลอด…หากแต่สีหน้าของฉู่จิ่นเหยาไม่สู้ดีนัก สุดท้ายพวกนางก็ไม่กล้าเอ่ยปาก จึงยอบกายแล้วกล่าวขึ้น
“คุณหนู เช่นนั้นพวกบ่าวออกไปก่อนนะเจ้าคะ”
“อืม”
พอในห้องเงียบสงบแล้ว ฉู่จิ่นเหยาก็ไปนั่งกอดเข่าบนเตียงพิงเสาเตียงอย่างอับจนหนทาง
ในจวนหลังนี้แม้นางจะอยู่ในสายตาแต่มารดาก็ทำเป็นไม่เห็น ท่านย่าอยู่สูงเกินเอื้อม บิดาที่พานางกลับมาก็หายหน้าหายตาไปหลายวันแล้ว นางไม่มีคนใกล้ชิดแม้แต่คนเดียว ภายในใจเคว้งคว้างและทำอะไรไม่ถูก แม้แต่ญาติพี่น้องก็จงใจเหยียดหยามนาง นางไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้อย่างไร
ฉู่จิ่นเหยาคิดอยู่เสมอว่ายามนี้ทุกคนยังไม่คุ้นเคยกับนาง รอเวลาผ่านไปจะดีขึ้นเอง นางพยายามเรียนรู้อย่างมาก แต่ยังคงไร้หนทางจะกลมกลืนไปกับจวนโหวได้ การที่นางไม่เข้าใจกฎระเบียบของตระกูลชั้นสูงเหล่านี้มิใช่ความผิดของนาง เหตุใดทุกคนไม่ยอมแม้แต่จะให้โอกาสนาง
ฉู่จิ่นเหยาคิดไปคิดมาน้ำตาก็ร่วงโดยไม่รู้ตัว บุตรคนยากไร้ต้องรับผิดชอบงานในเรือนเร็ว แม้แต่ร้องไห้ฉู่จิ่นเหยายังร้องอย่างไร้สุ้มเสียง เนื่องจากนางรู้ว่าต่อให้ตนเองร้องไห้ออกเสียงก็จะไม่มีใครมาปลอบโยน มีแต่จะทำให้ซูฮุ่ยผู้เป็นพี่สาวเป็นห่วง
ผ่านไปครู่หนึ่งในห้องที่เงียบงันพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจ้าไม่ต้องร้องไห้แล้ว”