ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกเร้นชะตา บทที่ 3.1-3.2
“เจ้าคือฉู่จิ่นเหยาแห่งจวนฉางซิงโหวใช่หรือไม่ เจ้ารอก่อนเถิด”
“ท่านรู้ชื่อข้าได้อย่างไร” ฉู่จิ่นเหยาทั้งตกใจและสงสัย แต่นางยังไม่ทันได้คำตอบจากอีกฝ่าย เวลานี้ก็มีเสียงของซานฉาดังมาจากนอกห้องแล้ว
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
ฉู่จิ่นเหยาทั้งร้องและปาข้าวของ ทำเอาคนข้างนอกตื่นตกใจอยู่นานแล้ว
นางมิได้ขานตอบซานฉา กลับลดเสียงลงแล้วเกาะเตียงพูดข่มขู่จี้หยกพก “ท่านชี้แจงมาเสียดีๆ มิฉะนั้นข้าจะส่งท่านให้คนข้างนอก ถึงเวลานั้นจะเชิญภิกษุนักพรตมาทำพิธี ดีไม่ดีดวงวิญญาณท่านจะแตกสลาย!”
เสียงในจี้หยกพกหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู ข้าโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยมีใครกล้าข่มขู่ข้ามาก่อน”
อีกฝ่ายไม่รับทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ฉู่จิ่นเหยาก็จนปัญญาแล้วจริงๆ เห็นทีข้างในจี้หยกพกคงจะมิใช่ผีร้ายอะไร น่าจะเป็นภูตมากกว่า ตอนอยู่ที่หมู่บ้านฉู่จิ่นเหยาเคยได้ยินคนพูดว่าหยกมีพลังศักดิ์สิทธิ์ ผู้ฝึกตนมากมายอาศัยพลังฟ้าดินในหยกเพื่อบำเพ็ญเป็นเซียน แม้แต่การที่มนุษย์ปุถุชนพกหยกก็ยังมีผลดี ฉู่จิ่นเหยารู้สึกมาตั้งแต่เล็กว่าหยกของตนนั้นวิเศษที่สุด พกแล้วตนก็ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดทั้งปี ดังนั้นการที่หยกปรากฏภูตออกมา แม้ฉู่จิ่นเหยาจะแปลกใจ แต่ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
นางพกหยกติดกายไว้ตลอด มิฉะนั้นคงถูกซูเซิ่งขโมยไปนานแล้ว เมื่อมาถึงจวนโหวที่นี่มีพิธีรีตองมากมาย เสื้อผ้าทั้งนอกและในต้องสวมใส่หลายชั้น ฉู่จิ่นเหยาไม่สะดวกจะพกติดกายอีก ทำได้เพียงใช้ถุงตาข่ายหุ้มไว้นอกจี้หยกพกแล้วห้อยไว้ชั้นนอกสุดของเสื้อผ้าตามอย่างคนอื่นๆ
อันที่จริงฉู่จิ่นเหยามิได้คิดจะส่งจี้หยกพกออกไปจริงๆ นางเพียงแต่ข่มขู่เท่านั้น นี่เป็นหยกของนาง อยู่กับนางมาสิบสามปี ต่อให้ในหยกมีภูตจริงๆ ฉู่จิ่นเหยาก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นภูตที่ดีและย่อมต้องเข้าข้างนาง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจริงๆ ขอเพียงภูตในจี้หยกพกนี้ปิดปากเงียบ ใครจะรู้ว่าฉู่จิ่นเหยาพูดความจริงหรือไม่ ดีไม่ดีคนในจวนโหวยังจะสงสัยว่านางสมองไม่ปกติ เลอะเลือนยามกลางวันแสกๆ ถึงเวลานั้นจ้าวซื่อก็จะมีข้ออ้างขับไล่นางออกไป นางไม่ได้โง่เสียหน่อย จวนโหวเดิมทีก็เป็นบ้านของนาง มีสิทธิ์อะไรมาไล่นางออกไปแล้วเก็บที่ไว้ให้คนนอกเล่า ดังนั้นนางจะต้องอยู่ต่อไปให้ได้และจะต้องอยู่ได้อย่างดีด้วย
ครั้นเห็นว่าข่มขู่ภูตในจี้หยกพกไม่ได้แล้ว อีกทั้งซานฉาก็ตะโกนเรียกอยู่ข้างนอก ฉู่จิ่นเหยาจึงได้แต่ส่งเสียงตอบกลับไป
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไปเถิด”
เมื่อได้ยินฉู่จิ่นเหยายืนยัน ซานฉาก็บ่นพึมพำสองสามคำแล้วจากไปทั้งอย่างนี้ ฉู่จิ่นเหยาได้ยินเสียงซานฉาเดินไปไกลแล้ว นางจึงมองมายังจี้หยกพกอีกครั้ง
“เหตุใดท่านถึงมาอยู่ในจี้หยกพกของข้า ท่านมีชื่อหรือไม่”
ฉินอี๋อยากรู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงได้มาอยู่ในจี้หยกพกของคุณหนูตระกูลโหว วันนั้นเขาพาคนไล่โจมตีพวกคนเถื่อนชาวต๋าต๋ากลุ่มนั้น ต่อมาคล้ายจะได้รับบาดเจ็บ พอเขาฟื้นคืนสติก็พบว่าตนเองมาอยู่ในนี้แล้ว
ฉินอี๋คาดเดาว่าดวงวิญญาณของตนเองน่าจะออกจากร่างเหมือนกับที่นักพรตในวังเหล่านั้นพูด วันนั้นเขาบาดเจ็บไม่น้อย อาจเพราะบาดเจ็บถึงแก่นฐาน ดวงวิญญาณจึงไม่มีที่ให้สถิต อันที่จริงฉินอี๋ก็มีจี้หยกพกที่คล้ายคลึงกับของฉู่จิ่นเหยาเช่นกัน เป็นหยกขาวมีริ้วแดงดุจโลหิต เนื้อหยกเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่จี้หยกพกของเขามีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย หลายปีมานี้ฉินอี๋พกติดกายมาโดยตลอด วันนั้นรีบร้อนออกไปจึงลืมไว้ หลังบาดเจ็บสาหัสถึงได้มาอยู่ในจี้หยกพกของฉู่จิ่นเหยา จี้หยกพกชนิดนี้คงมีฤทธิ์หล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ ฉินอี๋อยู่เช่นนี้สบายขึ้นไม่น้อย ปีนั้นนักพรตพเนจรผู้นั้นหลอกขายจี้หยกพกให้มารดาในราคาสูง อวดอ้างว่าสามารถช่วยรักษาชีวิตได้ในยามคับขัน เดิมทีฉินอี๋แค่นเสียงดูถูก ทว่าจากสถานการณ์ในยามนี้ดูเหมือนมันจะช่วยเขาได้จริงๆ
เขารู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่ริ้วแดงในหยกขาวหายไปหนึ่งเส้น ดวงวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมาก
ส่วนคำถามข้อหลัง ฉินอี๋ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “ข้ามีนามว่าฉีเจ๋อ เจ้าเรียกข้าว่าฉีเจ๋อก็แล้วกัน”
“ฉีเจ๋อ…” ฉู่จิ่นเหยาทวนก่อนเอ่ยชม “เป็นชื่อที่ดี”
“แน่นอน” ฉินอี๋รับคำช้าๆ ช่วงที่เขาเกิดเป็นธาตุน้ำ หลังเขาเกิดราชครูเป็นผู้คิดชื่อ ส่วนโหรหลวงเป็นผู้ทำนายดวงชะตา ราชครูบอกว่า ‘อี๋’ หมายถึงมหานทีที่มีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ และตั้งชื่อรองให้เขาว่า ‘อี่เจ๋อ’ หมายถึงด้วยความกรุณา ฉินอี๋เลือกอักษรตัวหนึ่งจากชื่อรองของตนเองมารวมกับสกุลของมารดา ดังนั้นนี่จึงเป็นชื่อที่ดีจริงๆ เป็นชื่อที่ได้จากราชครูและเหล่าขุนนาง
ฉู่จิ่นเหยาแทบจะสำลัก นางอยากอยู่ร่วมกับฉีเจ๋อด้วยดี ถึงได้เอ่ยปากชมชื่อของเขา แต่มีคำกล่าวที่ว่าไม่ตบหน้าผู้ที่ยิ้มให้มิใช่หรือ แต่ฉีเจ๋อถึงกับตอบรับอย่างหน้าตาเฉยเสียอย่างนั้น
ฉู่จิ่นเหยารู้สึกว่าภูตตนนี้จะต้องเพิ่งกลายเป็นภูตอย่างแน่นอน ยังไม่เข้าใจการปฏิบัติตนและอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ ฉู่จิ่นเหยาคิดว่าตนเองต้องเข้าใจและให้อภัยเขาให้มาก ด้วยเหตุนี้นางจึงมิได้ถือสาหาความฉีเจ๋ออีกอย่างใจกว้าง แต่เอ่ยถามเขา
“ฉีเจ๋อ ท่านมาอยู่ในจี้หยกพกของข้าตั้งแต่เมื่อไร”
ฉินอี๋พูดไม่ออกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ตอบอย่างคลุมเครือว่า “ไม่กี่วันก่อนกระมัง”
“ไม่กี่วันก่อนหรือ…” ฉู่จิ่นเหยากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “เช่นนั้นเรื่องในวันนี้ท่านก็เห็นทั้งหมดหรือ”
อันที่จริงเขาเห็นมากกว่านั้นเสียอีก
ฉินอี๋ถูกเสียงร่ำไห้ของสตรีทำให้ตื่น เดิมทีเขายังอยากจะตวาดว่าใครบังอาจมาร้องไห้ในห้องเขา แต่พอจะส่งเสียงกลับพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หลังจากประหลาดใจและคิดไม่ถึงในตอนแรก ฉินอี๋ก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว จับตาดูสถานการณ์อย่างเงียบเชียบ ต่อมาเขาก็ได้รู้ว่าสตรีตรงหน้านี้มีนามว่าฉู่จิ่นเหยา เพิ่งถูกตามตัวกลับมาจากข้างนอก ที่ร้องไห้เมื่อครู่นี้เป็นเพราะได้ยินถ้อยคำไม่ค่อยดีจากมารดาบังเกิดเกล้า