เขารู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้น่าสงสารไม่น้อย แต่เขายังคงไม่คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว คนเป็นๆ คนหนึ่งดวงวิญญาณออกจากร่าง มิหนำซ้ำยังมาพักฟื้นอยู่ในจี้หยกพกของคุณหนูตระกูลโหว ฉินอี๋เองก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่อยากให้สกุลฉู่รู้ถึงการมีอยู่ของตนเอง ดังนั้นช่วงที่ผ่านมาฉินอี๋จึงมิได้พูดอันใด เพียงอยู่ในจี้หยกพกของฉู่จิ่นเหยาอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง รอให้อาการบาดเจ็บหายดีแล้วค่อยจากไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉู่จิ่นเหยาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น นางห้อยจี้หยกพกออกนอกเรือนไปคารวะญาติผู้ใหญ่โดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ตกเย็นกลับมาก็กอดจี้หยกพกร้องไห้เพียงลำพัง ฉินอี๋กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง นอกจากนั้นยังร้อนตัวเล็กน้อย
ใกล้ชิดกับสตรีนางหนึ่งเช่นนี้ ไปไหนมาไหนด้วยกัน นอนหลับไปด้วยกัน ต่อให้เป็นสามีภรรยากันก็ยังไม่ทำถึงขั้นนี้
เดิมทีฉินอี๋ตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้ให้ตายไปกับตน แต่วันนี้ฉู่จิ่นเหยาพิงเสาเตียงร้องไห้ มิหนำซ้ำยังเป็นการหลั่งน้ำตาเงียบๆ ไร้สุ้มเสียง เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงได้แต่ปลอบอย่างแห้งแล้งไปประโยคหนึ่ง ‘เจ้าไม่ต้องร้องไห้แล้ว’
นี่นับเป็นความใจดีและเอาใจใส่อย่างหาได้ยากในชีวิตของฉินอี๋แล้ว
ผลคือนางไม่รับการปลอบโยน แต่กลับดูตกใจอย่างมาก จากนั้นยังบังอาจไม่เคารพเขาอีกด้วย ฉินอี๋คิดว่าเห็นแก่ที่จี้หยกพกของนางนับว่าช่วยเหลือเขาอยู่ไม่มากก็น้อย เขาจะจดจำความผิดนางไว้ก่อน ยังไม่เอาเรื่อง หากวันหลังยังล่วงเกินเขาอีก…ฮึ
ฉู่จิ่นเหยาไม่รู้ว่าในเวลาสั้นๆ เพียงชั่วขณะตนเองได้ไปเดินเฉียดบนรายชื่อที่องครักษ์เสื้อแพรให้การดูแลเป็นพิเศษมาแล้ว นางยังคงถือสากับเรื่องเมื่อครู่อยู่
“เช่นนั้นเรื่องที่วันนี้ข้าทำผ้าแพรอวิ๋นจิ่นเสียหาย ท่านก็เห็นแล้วเช่นกันใช่หรือไม่”
“ผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพับเดียวเท่านั้นเอง” ฉินอี๋แค่นเสียง ทุกปีเชื้อพระวงศ์ล้วนได้รับเป็นกองเท่าภูเขา ในวังหลวงผ้าแพรอวิ๋นจิ่นหาได้ทั่วไป เป็นแค่ผ้าสำหรับใช้ตัดชุดเท่านั้นเอง ฉู่จิ่นเหยาร้องไห้เพราะผ้าพับเดียว ฉินอี๋ก็ไร้หนทางจะเข้าใจจริงๆ ในใจเขาคิดว่าหากฉู่จิ่นเหยาชอบ รอเขาหายดีแล้วจะให้คนส่งมาให้นางสักหนึ่งคันรถก็ย่อมได้ ขอเพียงวันหน้านางจะไม่ร้องไห้อีก
ฉู่จิ่นเหยากลับถอนหายใจ “มิใช่เพราะผ้าแพรอวิ๋นจิ่นเสียหน่อย…”
นางนั่งลงบนแท่นรองเท้า วางคางกับเตียง เริ่มประจันหน้าคุยกับจี้หยกพก “ถึงผ้าแพรอวิ๋นจิ่นจะหายาก แต่ที่สุดแล้วก็เป็นเพียงผ้าพับหนึ่ง มีย่อมดี ไม่มีก็สวมที่ด้อยกว่าเล็กน้อยก็ไม่เห็นเป็นไร มีค่าถึงขั้นต้องร้องไห้เสียที่ใดกัน ที่ข้าทนไม่ไหวจนต้องร้องไห้เพียงเพราะรู้สึกอับจนหนทางเท่านั้นเอง ข้าพยายามปรับตัวเข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ของที่นี่แล้วจริงๆ แต่ข้าไม่เคยอยู่ในตระกูลใหญ่โต ไฉนเลยจะรู้พิธีรีตองในตระกูลชั้นสูงเช่นนี้ ต่อให้ข้าพยายามเรียนรู้อย่างสุดชีวิต พวกเขาก็ควรให้เวลาข้าเรียนรู้มิใช่หรือ ทว่าพวกเขาไม่ให้ พวกเขาล้วนกำลังหัวเราะเยาะข้า ส่วนมารดาของข้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าเพิ่งมา ไม่เข้าใจอะไรสักเรื่อง นางกลับไม่หาคนมาสอนกฎระเบียบมารยาทให้ข้าสักคน”
ได้ยินคำพูดประโยคแรกๆ ของฉู่จิ่นเหยาแล้วฉินอี๋เห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่ผิด ต่อให้ล้ำค่าเพียงใดก็เป็นแค่สิ่งของไร้ชีวิต ไฉนเลยจะมีค่าพอให้คนเป็นๆ ต้องเป็นทุกข์เพราะมันด้วยเล่า แต่ครั้นได้ยินประโยคหลังๆ ถึงจะเป็นคนไร้เหตุผลเช่นฉินอี๋ก็ยังรู้สึกปวดใจไปด้วย
บุตรสาวที่เพิ่งถูกตามตัวกลับมา ในครอบครัวทั่วไปผู้เป็นมารดาย่อมคอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ คอยแนะนำสั่งสอนด้วยตนเอง แทบอยากจะมอบความรักของมารดาที่ขาดหายไปชดเชยให้ทั้งหมด ทว่าสถานการณ์ของฉู่จิ่นเหยานี้ จ้าวซื่อไม่ยอมส่งหมัวมัวดีๆ มาให้ด้วยซ้ำ ฉินอี๋รู้สึกว่าไม่ใช่ว่านางไม่ยอมส่งมา ฮูหยินท่านโหวผู้สง่าผ่าเผยคงไม่ใจแคบปานนั้น จ้าวซื่อน่าจะลืมมากกว่า นางคงมิได้ใส่ใจโดยสิ้นเชิง
ฉู่จิ่นเหยาเพิ่งอายุสิบสามปี เข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยอย่างกะทันหัน ในใจจะหวาดหวั่นและอับจนหนทางมากเพียงใด จ้าวซื่อผู้เป็นมารดากลับไม่ใส่ใจ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าฉู่สูงส่งเหนือใคร มองไม่เห็นความทุกข์ยากของคนเบื้องล่าง ขณะที่ฉางซิงโหวมาที่เรือนในน้อยครั้งยิ่ง ย่อมลืมบุตรสาวที่เพิ่งตามตัวกลับมาคนนี้ไปนานแล้ว สุดท้ายก็เป็นคนนอกอย่างเขาผู้นี้ที่ทนดูต่อไปไม่ได้จึงกล่าวขึ้น
“ข้าเข้าใจเรื่องกฎระเบียบมารยาทของสตรีชั้นสูง ข้าสอนเจ้าก็แล้วกัน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ม.ค. 68