“อ้อ” ฉู่จิ่นเหยารีบนั่งสงบเสงี่ยม นางนับว่าได้เปิดหูเปิดตาเพิ่มขึ้นแล้ว ภูตหยกที่เพิ่งกลายเป็นภูตอย่างฉีเจ๋อผู้นี้ถึงกับเข้าใจการปฏิบัติตนในสังคมและธรรมชาติของมนุษย์มากกว่านาง ฉู่จิ่นเหยาทอดถอนใจพลางคิดว่าได้เห็นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว บางทีภูตหยกของนางอาจจะฉลาดเป็นพิเศษก็เป็นได้ ฉู่จิ่นเหยาจึงเอ่ยถามอีก “ท่านบอกว่าสามารถใช้ประโยชน์จากจางหมัวมัวได้ นี่…หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้ารู้จักร้องไห้ต่อหน้าข้า แต่เหตุใดถึงเลอะเลือนกับจุดนี้” ฉินอี๋กล่าวอย่างเย็นชา “ไปร้องไห้ทำตัวน่าสงสารกับนางเสีย นางเป็นหมัวมัวชราในเรือนใน ทั้งยังรู้สึกผิดต่อเจ้า นางขยับมือเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้นมากได้ เป็นต้นว่าจัดการกับสาวใช้สองคนในเรือนเจ้า”
“ท่านหมายถึงซานฉาหรือ”
ฉินอี๋หัวเราะเบาๆ “ไม่โง่นี่ อย่างน้อยก็ยังพอฟังเข้าใจบ้าง”
ฉู่จิ่นเหยาเองก็อมยิ้ม ได้รับคำชมจากฉีเจ๋อมิใช่เรื่องง่าย นางยิ้มเสร็จก็ถอนหายใจ “ในหมู่บ้านข้าเคยเห็นพวกที่ใช้เล่ห์กลปัดความรับผิดชอบมามาก ซานฉายังปิดบังไม่เก่งเท่าท่านป้าข้างเรือนข้า อย่างเช่นวันนี้หากมิใช่ข้าให้ติงเซียงนำผ้าแพรอวิ๋นจิ่นไปเก็บแล้วลั่นกุญแจไว้ ซานฉาจะต้องตัดชุดแทนข้าโดยอาศัยว่าข้าไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน แล้วก็ไม่แน่ว่าจะลอบลักผ้าแพรของข้าไปมากน้อยเพียงไร ทว่าติงเซียงกลับซื่อตรง อันที่จริงเก็บนางไว้ก็มิเป็นไร”
“อืม” ฉินอี๋ตอบรับเบาๆ คำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับความเห็นของฉู่จิ่นเหยา จากนั้นเขาก็เสริมอีกว่า “เจ้าเห็นแก่เงินไม่ใช่เล่น”
หลังพูดจบฉินอี๋ก็ตกตะลึงอยู่บ้าง เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งพูดหยอกล้อกับผู้อื่น มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง
“มิใช่ว่าข้าเห็นแก่เงิน แต่ผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพับหนึ่งมีราคาตั้งเท่าไร คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่เห็นแล้วยังต้องยิ้ม พวกนางเคยใช้ของดีมาไม่น้อย ของที่อยู่ในสายตาพวกนางได้ ข้ามิใช่ต้องคอยดูให้ดีหรืออย่างไร” ฉู่จิ่นเหยาพูดกลั้วหัวเราะโดยไม่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของฉีเจ๋อ
ในใจฉินอี๋รู้สึกซับซ้อนยิ่ง แต่พอได้ยินคำตอบของฉู่จิ่นเหยา เขาก็ไม่คิดแล้วว่าวันนี้ตนเองเป็นอะไร เพียงถามกลับไป
“เจ้าชอบผ้าแพรอวิ๋นจิ่นมากหรือ”
“ชอบสิ งามตระการปานเมฆเพียงนั้น ใครไม่ชอบบ้างเล่า”
ฉินอี๋ตอบรับในลำคอเบาๆ มิได้พูดอะไรอีก แต่ในใจกำลังคิดว่ารอเขากลับไปแล้วจะให้คนส่งมาให้ฉู่จิ่นเหยาสักชุด แน่นอนว่าไม่อาจส่งมาในนามของเขาได้
ฉู่จิ่นเหยานึกถึงผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพับนั้นขึ้นมาก็กล่าวยิ้มๆ “ผ้าแพรพับนั้นสีสันงดงามทั้งยังดูเรียบๆ ใส่ไปทำอะไรก็สง่าผ่าเผยอวดผู้คนได้ ข้าว่าจะตัดเป็นเสื้อตัวสั้นตัวหนึ่งก็พอ สามารถนำออกมาใส่พบแขกก็ใช้ได้แล้ว ที่เหลือข้าคิดจะส่งไปให้พี่สาวข้า นางยัดเสื้อผ้าสองชุดให้ข้าต่อหน้าคนมากมาย ข้าเกรงว่านางอยู่บ้านสามีจะลำบาก ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าให้ใส่ ส่งไปให้นางจะดีกว่า รอปีหน้านางคลอดหลานชายแล้วจะได้ใช้ทำเป็นเสื้อผ้าให้เขาพอดี”
ฉินอี๋ฟังแล้วก็เงียบไปชั่วขณะก่อนถามว่า “เจ้าชอบผ้าแพรพับนั้นมาก เหตุใดถึงจะมอบให้ผู้อื่นเล่า”
“ข้าจากครอบครัวชาวนามาอยู่จวนโหวอย่างกะทันหัน ไม่ต้องมีชีวิตยากจนข้นแค้นเหมือนแต่ก่อน มิหนำซ้ำยังมีคนปรนนิบัติรับใช้ ควรรู้จักพอได้แล้ว แม้ท่านพ่อจะโยนข้าเข้ามาแล้วไม่สนใจอีก แต่ข้ายังคงรู้สึกขอบคุณเขา หากมิใช่เพราะเขา ข้ามีหรือจะมีชีวิตเช่นตอนนี้ ท่านพ่อไม่ได้ทำอะไรขาดตกบกพร่องทั้งสิ้น ข้าไม่รู้ว่าควรตอบแทนเขาอย่างไร ทำได้เพียงค่อยๆ ดูไปในวันหน้า แต่การตอบแทนพี่สาวข้าเป็นเรื่องที่ทำได้ทันที!”
ฉู่จิ่นเหยานึกถึงครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมาสิบสามปี แววตาก็เปลี่ยนเป็นระลึกถึง แม้คนสกุลฉู่จะเป็นครอบครัวที่แท้จริงของนาง แต่สิบสามปีที่ผ่านมานางคิดว่าสกุลซูเป็นครอบครัวจากใจจริง ฉู่จิ่นเหยาหวนนึกถึงอดีตพลางกล่าวเสียงเบา
“เดิมทีท่านพ่อซูท่านแม่ซูมักจะไม่มีสีหน้าดีๆ ให้ข้า ข้านึกว่าเป็นเพราะข้าเป็นบุตรสาว นิสัยก็ไม่ชวนให้ชื่นชอบ ต่อมาถึงได้รู้ว่าที่แท้พวกเขารู้แก่ใจดีมาตลอดว่าข้าเป็นใคร พวกเขารักบุตรสาวตัวจริงของพวกเขาจึงสลับตัวนางให้มาเสพสุขอยู่ที่จวนโหว ข้าเข้าใจหัวอกบิดามารดาเช่นพวกเขาดี ชีวิตยากจนข้นแค้นไม่ง่ายจริงๆ แต่ข้าก็มิอาจยกโทษให้พวกเขาได้ อยากให้บุตรสาวของตนได้เสพสุขเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าคนที่พวกเขานำมาสังเวยคือข้า! ข้าพลัดพรากจากบิดามารดาและพี่น้องตั้งแต่เล็ก แม้จะถูกตามตัวพบและพากลับมาก็ยังห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้า ชีวิตที่ถูกทำให้ยุ่งเหยิงของข้าควรเป็นใครมาขออภัย แต่ถึงอย่างไรสกุลซูก็เลี้ยงดูข้ามาจนโต ข้าเห็นแก่น้ำใจส่วนนี้ของพวกเขา จะไม่กลับไปเหยียบย่ำสกุลซูเมื่อได้ที ทว่าข้าก็ไม่สามารถกตัญญูแล้วปล่อยให้พวกเขาเบียดเบียนข้าต่อไปได้เช่นกัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตระกูลโหวแล้ว ไม่ขาดอาหารเครื่องนุ่งห่ม แต่กลับไม่ยินดียื่นมือช่วยบิดามารดาบุญธรรมที่กำลังลำบาก ท่านว่าข้าเห็นแก่ตัวมากหรือไม่”