บทที่ 4.2 ชี้แนะส่วนตัว
ฉินอี๋ฟังอยู่เงียบๆ ความผิดพลาดในยามนั้นทำให้สองครอบครัววุ่นวาย ถึงแม้บัดนี้ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางแล้ว แต่รอยแผลก็ใช่ว่าจะลบได้ในชั่วขณะ มิหนำซ้ำหากกล่าวอย่างไม่น่าฟังสักหน่อย ผู้ที่บาดเจ็บหนักที่สุดในเรื่องนี้ก็คือฉู่จิ่นเหยา นางถูกบีบให้ออกจากสกุลซู ออกจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย หลังกลับจวนมายังต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่อย่างยากลำบาก ต้องทนกับสายตาเย็นชาและการกีดกัน ในเรื่องนี้ท่านพ่อซูและท่านแม่ซูรวมถึงฉู่จิ่นเมี่ยวได้เสียอะไรบ้าง
“ไม่” ฉินอี๋ปลอบคนอย่างไม่เคยทำมาก่อน ปรับเสียงให้นุ่มนวลขึ้นอย่างไม่คุ้นชินแล้วกล่าวกับฉู่จิ่นเหยาว่า “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว บุญคุณความแค้นแยกออกจากกัน แค่ในใจมีเจตนาดี เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว”
ฉู่จิ่นเหยาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ นางจมอยู่กับการหวนคิดถึงอดีต พอคิดไปคิดมาแม้ในดวงตาจะมีน้ำตาคลอ แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มบางเบายิ่ง
“แม้ท่านพ่อซูท่านแม่ซูจะไม่ดีต่อข้า ซูเซิ่งก็รังแกข้าประจำ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคนดีอยู่ แม้พี่สาวจะรู้แต่แรกว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวสกุลซู ปกติก็ไม่เคยพูดดีๆ กับข้า แต่เมื่อต้องซักผ้าในยามอากาศหนาว นางจะชิงไปตักน้ำเองทุกครั้ง นางบอกว่าหงุดหงิดที่ข้าทำงานช้า อันที่จริงข้ารู้ว่านางไม่อยากให้มือข้าเกิดแผลเปื่อย ตอนยังเล็กทุกครั้งที่ท่านพ่อซูเมาสุราแล้วจะตีคน ล้วนเป็นนางทนคำก่นด่าแล้วผลักข้าออกไปข้างนอก สั่งให้ข้าไปตัดหญ้า นางไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้า แต่นางทำเพื่อข้าได้ถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าซาบซึ้งใจในตัวนางมากจริงๆ” ฉู่จิ่นเหยาพูดแล้วก็รู้สึกแสบจมูก แต่รู้ว่าฉีเจ๋อไม่ชอบคนร้องไห้จึงกะพริบตาบังคับให้น้ำตาไหลกลับลงไป “ตอนนี้ข้ามีชีวิตที่ดีแล้ว ไม่มีสิ่งใดจะช่วยนางได้ ทำได้เพียงมอบเงินทองให้นางมีติดกายเอาไว้เท่าที่จะทำได้ นางจะได้ไม่ต้องซักผ้าในฤดูหนาวอีก”
ฉินอี๋มิได้พูดสิ่งใดเป็นเวลานาน เขาปลอบโยนเด็กสาวน้อยครั้งมาก ถึงขั้นแทบไม่เคยฟังผู้อื่นระบายความทุกข์ โลกของเขาคือกำแพงวังสีแดงเข้มที่น่าเกรงขาม คนในวังที่ฉลาดหลักแหลมและมีท่าทางเคารพนบนอบ โลกที่มีแต่การร้องรำทำเพลง ตลอดจนบรรดาสตรีที่มีรูปโฉมรื่นตา แต่จิตใจเปรียบดั่งอสรพิษ เขาเคยเห็นสตรีร้องไห้มามาก ทว่าสตรีในวังต่อให้ร้องไห้ก็ยังสามารถร้องได้อย่างงดงาม พอเหมาะพอควร นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินอี๋สงบจิตใจฟังเด็กสาวคนหนึ่งเล่าความลำเค็ญในโลกมนุษย์อย่างเงียบๆ
ฉินอี๋เกลียดคนร้องไห้เป็นที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร แต่ครั้งนี้พอฉู่จิ่นเหยาน้ำตาไหล เขากลับมิได้รังเกียจ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวขึ้น
“ผ้าแพรอวิ๋นจิ่นล้ำค่าเกินไป ต่อให้เจ้าส่งไปถึงมือพี่สาวเจ้าได้ เกรงว่านางคงจะใช้ไม่ได้ ดีไม่ดีกลับจะนำภัยมาสู่ตัวด้วย”
“ข้าเองก็รู้ แต่ข้าไม่มีเงิน ผ้าแพรพับนี้เป็นสมบัติส่วนตัวชิ้นเดียวของข้า”
“เรื่องพวกนี้ไม่เป็นปัญหาอะไร เช็ดน้ำตาเสีย เลิกคิดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว”
“จะไม่คิดได้อย่างไร” ฉู่จิ่นเหยาแทบจะถูกทำให้หัวเราะ “ข้าจะไม่พะวงกับเรื่องนี้ได้อย่างไร หรือว่าเงินทองตกลงมาจากฟ้าได้”
ฉินอี๋พลันถาม “หากเจ้าได้พบกับบุคคลใหญ่โตคนหนึ่ง มีฐานะสูงส่งมาก…อืม สูงส่งกว่าฉู่จิ้งบิดาเจ้าแล้วเขายินดีจะช่วยเจ้าเล่า”
“เขายินดีจะช่วยข้า แล้วข้าก็รับความช่วยเหลือง่ายๆ ได้หรือ” ปลายนิ้วฉู่จิ่นเหยาสะกิดจี้หยกพกเบาๆ พลางกล่าวว่า “ท่านเพิ่งมายังโลกมนุษย์ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดว่าเรื่องจะสำเร็จภายในก้าวเดียว แต่ข้าบอกท่านไว้เสียก่อนว่าความคิดพรรค์นี้จะมีไม่ได้เด็ดขาด พึ่งเขาเขาถล่ม พึ่งคนคนหนี เอาความหวังไปฝากไว้กับคนอื่นไม่ควรกระทำ ถึงแม้นั่นจะเป็นบุคคลใหญ่โตก็ไม่ได้ เห็นทีข้าต้องจับตาดูท่านให้ดี จะได้ไม่เผลอถูกคนหลอกลวงเข้า!”
“เจ้าน่ะหรือ”
“แล้วเป็นข้าไม่ได้หรือไร เรื่องอื่นข้าไม่กล้าพูด แต่เรื่องปกป้องท่าน ข้าทำได้สบาย”
ฉินอี๋หัวเราะเบาๆ ฉู่จิ่นเหยาก็พูดต่อไปอีก
“วันหน้าท่านต้องเชื่อฟังข้า มิฉะนั้นข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว”
ฉินอี๋รู้สึกว่าน่าขัน หลังจากเขาหัวเราะเสร็จก็คร้านจะพูดแก้กับฉู่จิ่นเหยา กลับไปจับอีกประเด็นแทน “ข้ามิได้เพิ่งมายังโลกมนุษย์ นี่เจ้าคุยภาษาคนรู้เรื่องหรือไม่”
“ก็ข้าเป็นห่วงท่านนี่” ฉู่จิ่นเหยากลัวฉีเจ๋อจะเกิดความคิดอยากเดินทางลัด ไปสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าบุคคลใหญ่โตจนทำให้ตนติดร่างแหไปด้วย
ฉินอี๋แค่นหัวเราะ “น้ำหน้าอย่างเจ้ายังจะมาห่วงข้า…เก็บผ้าแพรอวิ๋นจิ่นพับนั้นให้ดีเถิด เจ้าชอบก็เก็บไว้ใช้เอง เรื่องเงินกับเรื่องพี่สาวเจ้าไม่ต้องให้เจ้าเป็นกังวล”
น้ำเสียงราวกับจะรับผิดชอบด้วยตนเองนี้ของเขาช่าง…ฉู่จิ่นเหยารู้สึกว่าน่าขบขัน แต่ก็ไม่อยากขัดความปรารถนาดีของเขา จึงยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
“ก็ได้ เช่นนั้นวันหน้าข้าขอพึ่งพาท่านแล้ว”
ฉู่จิ่นเหยาเพียงพูดล้อเล่นโดยไม่คิดอะไร หัวเราะเสร็จไม่นานก็ลืม ฉินอี๋มิได้โต้แย้ง นางจึงไม่รู้ว่าคำล้อเล่นนี้มีความหมายเช่นไร