บุรุษผู้นั้นมีเรือนกายสูงโปร่ง ผิวกายขาวเนียนปานหยก รูปหน้าคมคายละเมียดละไมดุจเครื่องกระเบื้องชั้นดี รอยยิ้มในสีหน้าและแววตาราวกับแผ่รัศมีเรืองรองเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์มีชีวิตชีวา ท่วงท่างามสง่าผึ่งผายเป็นธรรมชาติโดยมิต้องประดิษฐ์ปั้นแต่ง
“สือซี เห็นทีว่าวันหน้าจะออกมาข้างนอกพร้อมกับเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ” บุรุษชุดสีน้ำเงินข้างกายบุรุษชุดสีม่วงเอ่ยเสียงเบา
“นั่นสิ ขอแค่เจ้าปรากฏตัว ไม่ว่าชายหนุ่มหญิงสาวเด็กน้อยหรือคนแก่ต่างมองแต่เจ้าคนเดียว ข่มรัศมีพวกข้าให้กลายเป็นพวกขี้เหร่อัปลักษณ์ไปเลย” บุรุษชุดสีเขียวอีกคนกล่าวเสริมขึ้น
นัยน์ตาของบุรุษชุดสีม่วงโค้งลงยามกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย “ข้านึกว่าพวกเจ้าชินแล้วเสียอีก”
อีกสองคนกลอกตาขึ้นพร้อมกัน
ทั้งสามพูดคุยยิ้มหัวกันจนมาถึงโถงใหญ่แล้ว กำลังจะก้าวเท้าเดินทอดน่องออกไปด้านนอกพร้อมสายตาของคนในโถงที่มองตามพวกเขาไป
เฉียวเจายกยิ้มตรงมุมปาก
คนที่นางรออยู่ลงมาแล้วจนได้ ไม่เสียแรงที่นางจงใจนั่งทางฝั่งที่ติดกับทางเดินนี้
ตอนอยู่นอกหอสุรา ปราดแรกที่เห็นสามคนนี้เข้ามาในหอสุราแห่งนี้ นางก็รู้ว่าโอกาสที่รอคอยอยู่ตลอดมาถึงแล้ว
นางรู้จักบุรุษชุดสีม่วงผู้นั้นพอดี เขาเป็นบุตรชายโทนขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง แซ่ฉือนามชั่น ชื่อรอง* สือซี ความประพฤติยังนับว่าพอใช้ได้
ถึงตอนนี้รูปโฉมโนมพรรณของนางจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ด้วยความหล่อเหลาของฉือชั่น อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะถูกลวนลาม
บางที…อาจเป็นฉือชั่นที่ต้องเป็นห่วงมากกว่า
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวก็เห็นพวกเขาสามคนเดินถึงหน้าประตูแล้ว เฉียวเจาไม่ลังเลใจอีกต่อไป นางโยนตะเกียบในมือทิ้งแล้วลุกขึ้นวิ่งทะยานไปตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
นางขยับตัวอย่างกะทันหัน ทุกคนยังไม่หายตะลึงในรูปโฉมอันหล่อเหลาโดดเด่นของฉือชั่น แลเห็นสาวน้อยนางหนึ่งไล่กวดตามไป ต่างคิดเหมือนๆ กันโดยมิได้นัดหมายว่า
มีสาวน้อยวิ่งไล่ตามดังคาด ไม่น่าประหลาดใจแม้สักนิดเลยจริงๆ
โจรค้าทาสยังผงกศีรษะหงึกๆ ตามไปด้วย แต่แล้วก็นิ่งขึงไปกะทันหัน
ประเดี๋ยวก่อน คนที่วิ่งไล่ตามนั่นเป็น…
เขาหน้าถอดสีไปถนัดตา ลุกขึ้นวิ่งไล่ตามไปยังไม่ถึงหน้าประตูก็ถูกเสี่ยวเอ้อร์ขวางหน้าไว้ “ท่านขอรับ ท่านยังไม่จ่ายเงินเลยนะ คิดจะกินแล้วชักดาบรึ ไม่รู้จักถามดูหรือว่าเจ้าของหอจุ้ยเซียนเป็นใคร”
โจรค้าทาสถูกเสี่ยวเอ้อร์ในร้านสกัดเอาไว้ เฉียวเจาเลยไล่ตามทันอย่างราบรื่นมาก
“รอก่อนเจ้าค่ะ…”
บุรุษทั้งสามชะงักเท้าหมุนกายกลับ เห็นเด็กสาววัยราวสิบสองสิบสามวิ่งไล่ตามมา อีกสองคนก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉือชั่นพร้อมกัน
ฉือชั่นเลิกคิ้วส่งยิ้มให้เฉียวเจาที่วิ่งมาตรงหน้า “น้องสาว มีธุระอันใดหรือ”
เอ่อ…แม้ว่าเขาจะมีเสน่ห์ล้นเหลือ แต่หากเด็กสาวอายุแค่นี้สารภาพรักกับเขา เขาก็ยืนกรานขอปฏิเสธนะ
เฉียวเจาไม่กล้ารอช้าสักชั่วเค่อเดียว
นางวางแผนมานานถึงเพียงนี้ก็เพื่อฉกฉวยเวลาชั่วครู่ที่โจรค้าทาสถูกเสี่ยวเอ้อร์ดึงตัวไว้ จะได้มีโอกาสเล่าเรื่องที่ถูกล่อลวงอย่างคร่าวๆ
เฉียวเจาสืบเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วจับแขนเสื้อของฉือชั่นไว้จนแน่น นางแหงนหน้าพูดขอร้อง “ท่านอา ช่วยข้าด้วย”
บุรุษทั้งสามซึ่งรวมฉือชั่นอยู่ด้วยพากันชะงักค้างราวกับถูกสาปเป็นก้อนหินไปแล้ว
เชิงอรรถ
* เป่ยเจิง หมายถึงพิชิตอุดร
** ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ซื่อ (แปลว่า นามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดเจนขึ้น
*** ลี้ (หลี่) หมายถึงหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
**** พานอันและซ่งอวี้ ได้รับการยกย่องเป็นบุรุษรูปงามในประวัติศาสตร์จีน ซ่งอวี้เป็นศิษย์ของกวีรักชาติชวีหยวนและเป็นราชเลขาธิการของฉู่ไหวอ๋องในสมัยจั้นกั๋ว ส่วนพานอัน มีชื่อเดิมว่าพานเยวี่ย เป็นนักวรรณคดีหนุ่มรูปงามในสมัยจิ้นตะวันตก
* ชั่วยาม เป็นหน่วยเวลาโบราณของจีน หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับหนึ่งชั่วโมง
* เทศกาลกำเนิดบุปผา หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เทศกาลบุปผาสะพรั่ง เป็นหนึ่งในเทศกาลดั้งเดิมของชาวฮั่น ตรงกับวันที่ 15 เดือน 2 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน กิจกรรมที่ทำในเทศกาลนี้ได้แก่ การเซ่นไหว้เทพบุปผา การนำแถบผ้าสีแดงผูกกับกิ่งดอกไม้ การจับผีเสื้อ การเก็บดอกไม้
* เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
* ชาวจีนสมัยโบราณมีชื่อเรียกขานหลากหลาย โดยทั่วไปมี ’นาม (หมิง 名)’ คือชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แต่กำเนิด ’ชื่อรอง (จื้อ 字)’ เป็นชื่อที่อาจารย์ตั้งให้เมื่อเข้ารับการศึกษา มักสอดคล้องกับนาม หรือเพิ่มคำด้านหน้าให้เหมือนกันในหมู่พี่น้องเพื่อบ่งบอกรุ่นในวงศ์ตระกูล นอกจากนี้ ผู้มีความรู้ มีตำแหน่งหน้าที่อาจตั้ง ’ฉายา (เฮ่า 号)’ ของตนเองเพื่อใช้ในวงการ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น