บทที่ 180
“ยายเฒ่า ข้าขอเตือนไว้ ขืนเจ้ายังก่อกวนต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ พวกข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
ผู้คนมุงดูมากขึ้นตามลำดับ องครักษ์จินหลินที่ได้ยินเสียงดังอึกทึกพากันออกมาขับไล่ด้วยสีหน้าถมึงทึง
ชาวบ้านที่โดนไล่ก็รู้จังหวะ ยืนห่างไปกว่าเดิมชะเง้อคอมองชมเรื่องสนุกกันต่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแค่นเสียงเยาะ “ข้ามิได้เติบใหญ่มาพร้อมกับคำขู่ขวัญ ถ้าแค่ต้องการคำขอขมาก็ถูกองครักษ์จินหลินจับตัวไป อย่างนั้นพวกเจ้าจับกุมครอบครัวข้าทั้งเด็กทั้งคนชราเข้าคุกหลวงให้หมดไปเลย”
ยายเฒ่าผู้นี้เป็นดั่งสุกรตายไม่กลัวน้ำร้อนลวกจริงๆ
“ท่านผู้เฒ่า ในเมื่อท่านเป็นนายหญิงตราตั้งแล้วไม่คำนึงถึงลูกหลานของตัวเองบ้างหรือ” องครักษ์จินหลินคนหนึ่งพูดเตือนเสียงเบาๆ
สิ้นเสียงเขาไม่ทันไร มีคนผู้หนึ่งทะยานเข้ามาฉับพลัน กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ใครกล้าแตะต้องท่านแม่ข้า”
คนผู้นั้นดูท่าทางอยู่ในวัยราวสามสิบเศษ หิ้วกล่องอาหารอยู่ในมือ อารมณ์ที่เดือดดาลทำให้ดวงหน้าคมคายของเขาเปล่งประกายจับตาจับใจ งามสง่าประหนึ่งเทพบุตร หล่อเหลาไม่เป็นสองรองใคร
เอ๊ะ?! คนผู้นี้ดูคุ้นๆ หน้าอยู่สักหน่อย มีองครักษ์จินหลินสองคนคิดอยู่ในใจ
หลีกวงเหวินเอาตัวบังอยู่ข้างหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง เขายื่นกล่องอาหารให้สาวใช้ด้านข้าง “ท่านแม่ ข้ามาส่งข้าวส่งน้ำให้ท่าน ข้ามาช้าไปทำให้ท่านต้องได้รับความคับข้องหมองใจแล้ว”
เขาหมุนกายสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว “ทุกท่านจะจับตัวพวกข้าไปหรือ ข้าคือบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งลำดับทั่นฮวาปีกุ่ยเว่ย* รั้งตำแหน่งอาลักษณ์เป็นเวลาสิบปีเศษในสำนักราชบัณฑิต เดิมทีข้าอยู่ที่นั่นก็นึกเบื่อหน่ายแล้ว จะเปลี่ยนไปอยู่ที่อื่นก็ไม่เป็นปัญหาใด แต่ข้าต้องบอกกล่าวทุกท่านไว้ข้อหนึ่ง เว้นเสียแต่ว่าข้าจบชีวิตในคุกหลวง หาไม่แล้วขอแค่ออกมาได้ ข้ายังคงจะทวงความชอบธรรมให้บุตรสาวอยู่ดี”
หลีกวงเหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทรงพลังจบ ก็ชูมือชี้ฟ้าพลางพูดว่า “สวรรค์เป็นประจักษ์พยาน วันนี้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้มิใช่อาลักษณ์สำนักราชบัณฑิต แล้วคนที่พวกข้าต้องการพบก็ไม่ใช่ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าเป็นเพียงบิดาที่รักใคร่บุตรสาวคนหนึ่งที่อยากพบบิดาของคนที่ทำร้ายบุตรสาวข้า เพื่อถามเขาเองกับปากว่าอบรมสั่งสอนบุตรธิดาเยี่ยงไร”
ขอบตาของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งร้อนผ่าว วันนี้บุตรชายคนโตแสดงฝีมือได้เกินระดับปกติโดยแท้!
รังแกกันเกินไป รังแกกันเกินไปจริงๆ!
ถึงแม้ราษฎรที่มุงดูอยู่จะไม่กล้าเปล่งเสียงสนับสนุนดังๆ ด้วยหวั่นเกรงกิตติศัพท์อันฉาวโฉ่ขององครักษ์จินหลิน ทว่าสีหน้าเคียดแค้นต่อศัตรูร่วมกันบ่งบอกทุกสิ่งได้แล้ว
บรรยากาศเขม็งเกลียวพร้อมแตกหักทุกเมื่อ
สภาพการณ์นี้มิได้เกิดขึ้นจากครอบครัวของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเท่านั้น หากแต่ความรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นซึ่งถูกจุดขึ้นในใจคนที่มุงดูอยู่นับไม่ถ้วนชั่วขณะนี้กลายเป็นที่พึ่งพิงของชาวสกุลหลีที่แม้จะมองไม่เห็น ทว่าทำให้ไม่มีใครกล้ากระทำตามอำเภอใจ
นี่คือได้ใจปวงประชา
บรรดาบ่าวไพร่ของทุกๆ จวนที่ลอบสืบถามอาการของคุณหนูสามสกุลหลีเร่งรีบส่งข่าวนี้กลับไป
แทบจะเป็นเวลาแค่ชั่วสายลมพัดระลอกเดียว ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ล่วงรู้เรื่องที่คุณหนูสามของสกุลหลีโดนบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินยิงธนูทำลายโฉม และผู้อาวุโสของสกุลหลีไปเอาเรื่องถึงที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน
“อะไรนะ! ที่จวนตะวันตกเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เลยหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงของจวนตะวันออกได้รับข่าวนี้แล้วสีหน้าบูดบึ้ง นางกระแทกไม้เท้าพร้อมกล่าวขึ้น “เหลวไหล! เหลวไหลจริงๆ ไฉนเติ้งซื่อยิ่งแก่เฒ่ายิ่งถอยหลังเข้าคลอง”
อู่ซื่อที่อยู่ด้านข้างลอบกระตุกมุมปากขึ้น แม้นางรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนตะวันตกทำอะไรหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่จะอย่างไรก็เป็นการปกป้องลูกหลานจากใจจริง ไม่เหมือนมารดาสามีของนางผู้นี้ เจอปัญหาอะไรก็เอาตัวรอดก่อนแล้วให้หลานสาวเป็นแพะรับบาป
เมื่อคิดถึงบุตรสาวหลีเจียวที่ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเวลานี้ ความชิงชังที่อู่ซื่อมีต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงก็เพิ่มมากขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
ถึงเดิมทีบุตรสาวของนางไม่นับว่าโดดเด่นในหมู่สตรีชั้นสูงของเมืองหลวง แต่ก็ไม่ด้อยกว่าใคร จะออกเรือนไปกับคู่ครองดีๆ สมฐานะกันสักคนก็ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย แต่บัดนี้อนาคตกลับดับวูบลงเพราะความเห็นแก่ตัวและหลงระเริงในเกียรติยศของมารดาสามี!
“อู่ซื่อ เจ้าตามข้าไปที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลินพาพวกเติ้งซื่อกลับมา” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลุกขึ้น นางเพ่งมองทางด้วยความยากลำบาก แต่ย่างเท้าเดินไปทางข้างนอกได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงัก “ไม่ได้ แม้จวนตะวันตกกับจวนตะวันออกจะตัดไม่ตายขายไม่ขาด ทว่าเรื่องในวันนี้เป็นเรื่องของจวนตะวันตก พวกเราอยู่วงนอกแต่แรก ต่อให้องครักษ์จินหลินจะลงมือเล่นงาน ไฟก็ไม่มีทางไหม้ลามมาถึงจวนตะวันออกด้วยเรื่องเล็กเท่านี้ แต่ถ้าไปที่นั่นแล้วกลับกลายเป็นพัวพันกันจนแยกไม่ออก อู่ซื่อ เจ้าส่งคนไปแอบสังเกตการณ์ มีความเคลื่อนไหวอะไรให้รายงานทันทีเท่านั้นเป็นพอ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” อู่ซื่อยอบกายคารวะ