X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่าน หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม บทที่ 423-บทที่ 424

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 423

เรือนของหญิงขายเต้าหู้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวสุดทิศตะวันตกของท้ายหมู่บ้านประหนึ่งเกาะร้าง เพราะว่าพวกเฉียวเจาพำนักอยู่ ไม่ต้องเอ่ยว่าในเวลาค่ำมืดดึกดื่น ถึงยามกลางวันแสกๆ คนในหมู่บ้านล้วนไม่เต็มใจเข้าใกล้แม้แต่ครึ่งก้าว

ผีร้ายสกุลเฉียวพวกนั้นก็เป็นคนพวกนี้ปลดปล่อยออกมา อัปมงคลสิ้นดี!

คนชุดดำกลุ่มหนึ่งเคลื่อนมาโอบล้อมเรือนของหญิงขายเต้าหู้ไว้ดุจกระแสน้ำ

กำแพงเรือนในชนบทเช่นนี้ไม่สูงนัก หัวหน้าคนชุดดำโบกมือคราหนึ่ง บรรดาเหล่าคนชุดดำก็กระโดดขึ้นกำแพงกรูกันเข้าไป

ภายในลานเรือนเงียบสงัดปราศจากแสงไฟใดๆ เมื่อคนชุดดำกระโดดลงมาทีละคนจนไม่เหลือแม้แต่ที่ว่างให้วางเท้าได้ พลันนั้นคบเพลิงนับไม่ถ้วนถูกโยนออกมา บังเกิดแสงสว่างจ้าในพริบตา

ชั่วอึดใจเดียวเปลวไฟของคบเพลิงที่ตกลงกลางกลุ่มคนชุดดำก็ลุกลามติดเสื้อผ้าของพวกเขา บังเกิดเสียงร้องโหยหวนดังระงม

ด้านคนชุดดำที่ล้อมอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงเอ็ดอึงจากด้านใน จึงตะโกนบอกเสียงดัง “จับตาดูให้ดี! อย่าปล่อยให้คนในนั้นหนีไปได้”

“ไม่ถูกต้อง ด้านในมีแสงไฟสว่างเช่นนี้ได้อย่างไร” มีคนเอ่ยขึ้นอย่างฉงนใจ

หัวหน้าที่รั้งอยู่ด้านนอกหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาโบกมือทีหนึ่งพร้อมกล่าว “พังประตูเข้าไป!”

กลางลานเรือนตกอยู่ในสภาพโกลาหล

หลังพวกคนชุดดำที่โดนโจมตีด้วยไฟหายจากความตื่นตระหนกในทีแรกก็ตั้งตัวติดอย่างรวดเร็ว ทิ้งตัวกลิ้งกับพื้นดับเปลวไฟบนตัวได้ก็พุ่งทะยานไปที่หน้าประตูเรือน

ดวงตาของเซ่าหมิงยวนซึ่งเร้นกายอยู่ในผืนราตรีทอประกายกร้าว “ถึงกับเป็นกองพลที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี นี่กลับน่าสนใจเสียแล้ว”

เฉียวเจาที่หลบซ่อนอยู่ในเรือนเดินไปใกล้ๆ เขาอย่างอดใจไม่อยู่ “กองพล? เจ้าเมืองโยกย้ายกำลังทหารได้อย่างไร”

“เรื่องนี้เห็นทีว่าต้องถามเจ้าเมืองหลี่แล้วล่ะ เจาเจา เจ้ากลับเข้าห้องนะ คนพวกนี้ต้องรีบสะสางโดยไวจะดีกว่า”

โยกย้ายกำลังทหารมาได้ แสดงว่ากลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเมืองหลี่มิใช่ชั้นสามัญเสียแล้ว

นางอาศัยแสงไฟที่สว่างขึ้นกวาดตามองปราดหนึ่งอย่างฉับไวก่อนเอ่ยเสียงค่อย “อีกฝ่ายมีจำนวนมาก แม่ทัพเซ่า ท่านระวังด้วย”

เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “เจาเจา เจ้าเรียกข้าว่าพี่เซ่าสักคำ ข้าจะระวังตัวแน่”

“ถึงเวลานี้แล้ว ท่านยังมีแก่ใจล้อเล่นอีกหรือ” มุมปากของนางกระตุกริก

“ถึงเวลานี้แล้ว เจ้าเรียกข้าว่าพี่เซ่าสักคำก็ไม่ได้หรือ” เขาย้อนถามนาง

นัยน์ตาของเขางดงามอย่างมาก ใสแวววาวดั่งหินนิลดำ มันทอประกายระยับอย่างวาดหวังรอคอย

เฉียวเจามองเขาแล้วใจอ่อนกะทันหัน นางเปล่งเสียงเรียกเบาๆ ว่า “พี่เซ่า” จากนั้นหมุนกายกลับเข้าห้องไป

เซ่าหมิงยวนแย้มปากยิ้ม ชักดาบยาวจากหว่างเอวแล้วกระโจนเข้าสู่กลางหมู่คนที่ต่อสู้กันอุตลุด

เฉียวเจากลับเข้าไปในห้องได้ยินเสียงฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดในลานเรือน นางสอดมือเข้าอกเสื้อล้วงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมา

ตอนกลางวันเขามอบมีดสั้นเล่มนี้ให้นางไว้ใช้ป้องกันตัว

นางดึงมีดออกจากปลอก มันเปล่งประกายเย็นเยียบท่ามกลางความมืดมิด

ในห้องไม่ได้จุดตะเกียงไว้เพื่อไม่ให้เป็นเป้าโจมตีของศัตรู

“คุณหนู ระวังบาดมือเจ้าค่ะ” อาจูส่งเสียงเตือนเบาๆ

เฉียวเจาลูบไล้ใบมีดอย่างระมัดระวังพลางกล่าวเรียบๆ “ไม่หรอก”

หากว่ายามนั้นมีมีดสั้นเล่มหนึ่งอย่างนี้ บางทีเซ่าหมิงยวนอาจไม่จำเป็นต้องยิงธนูดอกนั้นแล้ว

“ปิงลวี่เล่า” นางเก็บมีดสั้นแล้วไต่ถาม

“เมื่อครู่นางบอกว่าไปหยิบเหล็กเขี่ยไฟไว้ป้องกันตัวเจ้าค่ะ”

เฉียวเจาส่ายหน้า “หยิบเหล็กเขี่ยไฟไว้ป้องกันตัว? เกรงว่านางจะหยิบมันวิ่งออกไปต่อสู้แล้ว”

อาจูหน้าถอดสี “คุณหนู ข้าไปเรียกปิงลวี่กลับมา”

เฉียวเจาห้ามนางไว้ “พวกเรารออยู่ในห้อง อย่าไปสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น”

มีเฉินกวงอยู่ด้วยคงไม่เกิดอะไรขึ้นกับปิงลวี่อยู่แล้ว ด้วยนิสัยใจคอและความชื่นชอบของสาวใช้น้อยผู้นั้น ได้ฝึกฝนเคี่ยวกรำบ้างอาจเป็นการดี

เสียงฆ่าฟันกันด้านนอกฟังดูรุนแรงมากขึ้น

ชานเมืองไม่ไกลจากหมู่บ้านไป๋อวิ๋น เจ้าเมืองหลี่ยืนเอามือไพล่หลังทอดสายตามองไปทางทิศตะวันตก สีหน้าเขาตึงเครียดขึ้นทีละน้อย

“ไฉนยังไม่ยุติอีก”

อีกฝ่ายมีคนเพียงสิบกว่าคน ส่วนทหารที่เขาขอตัวมามีถึงสองร้อยคน ต่อให้กวนจวินโหวมีวรยุทธ์สูงส่งเหนือใคร หรือว่ายังจะติดปีกบินหนีไปได้อีก

ตามหลักแล้วเรื่องนี้สมควรสะสางได้ตั้งนานแล้ว

เจ้าเมืองหลี่อดแหงนหน้ามองฟ้าไม่ได้

ท้องนภากลางดึกเป็นสีดำแกมน้ำเงิน ดวงเดือนหลบเข้าไปกลางผืนเมฆสีดำ มืดมิดจนทำให้เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี

“ใต้เท้า สถานการณ์น่าจะไม่ค่อยชอบมาพากลแล้ว” ที่ปรึกษาขยับเข้ามาพูดเสียงต่ำๆ “ใต้เท้าเห็นว่าอย่างไร”

ขณะนี้เจ้าเมืองหลี่กำลังใจคอไม่ดีเฉกเดียวกัน ได้ยินที่ปรึกษากล่าวเช่นนี้ก็ใจกระตุกวูบ ลางสังหรณ์ไม่ดีนั่นยิ่งรุนแรงขึ้นตามลำดับ

“ตามการคาดคะเนก่อนหน้านี้ของพวกเรา ศึกนี้พึงจบลงโดยไวจึงจะถูก แต่จนบัดนี้ทางนั้นยังไม่สิ้นสุดลง ระหว่างนี้ต้องเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นเป็นแน่” ที่ปรึกษาพูดถึงตรงนี้ก็เห็นคนชุดดำผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมา

“ใต้เท้า สถานการณ์พลิกผันขอรับ!”

“เกิดอะไรขึ้น” ในใจเจ้าเมืองหลี่หนักอึ้ง

“ใต้เท้า ในเรือนหลังนั้นมิได้มีเพียงสิบกว่าคนดังเช่นที่ท่านกล่าว แต่ต้องมียอดฝีมือที่สู้ได้แบบสิบต่อหนึ่งอยู่หลายสิบคนเป็นอย่างน้อยขอรับ”

“อะไรนะ!” เจ้าเมืองหลี่หน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา เขาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “แล้วตอนนี้ทางนั้นเป็นเช่นไรบ้าง”

ผู้ที่มาถึงกล่าวอย่างร้อนใจ “ขณะนี้ฝ่ายเราสูญเสียกำลังไปเกินครึ่ง หวั่นใจว่าจะต้านทานได้อีกไม่นานแล้วขอรับ”

เจ้าเมืองหลี่ตัวเซวูบ เขากล่าวเสียงหลง “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

ที่ปรึกษาถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ใต้เท้า พวกเราประเมินกวนจวินโหวต่ำเกินไป เขาเดินทางลงใต้ครานี้มิได้พาคนมาไม่กี่คนเพียงเท่านั้นอย่างเด็ดขาด”

“ข้าชะล่าใจเอง กวนจวินโหวมีบารมีสยบแดนเหนือมานานหลายปี จะเป็นคนที่ยอมให้เบื้องบนบีบเค้นตามชอบใจได้เยี่ยงไรกัน”

ที่ปรึกษาพลันโค้งกายต่ำแสดงคารวะ “ใต้เท้า ตอนนี้พวกเรามีทางออกแค่สองสาย ท่านจำเป็นต้องเลือกโดยไวที่สุด”

“อาจารย์หานเชิญกล่าว”

ที่ปรึกษายืดตัวตรง สายตาที่เพ่งมองไปทางทิศตะวันตกเปล่งประกายคมกริบ “ทางเลือกที่หนึ่งคือแสร้งทำไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น รอวันพรุ่งนี้กวนจวินโหวไปแจ้งทางการ ค่อยส่งคนไปทำทีสืบหาโจรเร่ร่อนพอให้เรื่องนี้พ้นตัวไป”

เจ้าเมืองหลี่ส่ายหน้า “ข้าไม่เลือกหนทางนี้ ในเมื่อลงมือแล้วก็ไม่มีเหตุผลจะถอยหลัง กวนจวินโหวไม่ใช่คนโง่งม ต้องคิดบัญชีกับพวกเราภายหลังแน่”

ที่ปรึกษาคิดเช่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด เขาพยักหน้าถี่ๆ แววอำมหิตจุดวาบขึ้นในดวงตา กล่าวเสียงเย็นๆ ว่า “เช่นนั้นทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด ทุ่มกำลังพลหมดทั้งเมืองปราบโจร”

“ความหมายของท่านคือ…”

“เจ้าหน้าที่ทางการกับทหารประจำเมืองที่พวกเราเคลื่อนย้ายได้น่าจะมีเกือบหนึ่งพันคน โจรเร่ร่อนบุกเข้าหมู่บ้านไป๋อวิ๋น มีชาวบ้านเคราะห์ดีหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากทางการ เจ้าเมืองจยาหนานนำพากำลังคนรุดไปปราบโจรในราตรีเดียวกัน น่าเสียดายที่กลุ่มของกวนจวินโหวต้องประสบเคราะห์ร้ายตอนปะทะกับโจรเพื่อปกป้องชาวบ้าน”

“ดี ก็ทำตามนี้เลย” เจ้าเมืองหลี่ตบมือ “ข้าไม่เชื่อว่ากวนจวินโหวโดนคนเกือบพันคนตีวงล้อมสังหารยังจะหนีเอาชีวิตรอดไปได้”

เมื่อเป็นเช่นนี้เขายังสามารถลบล้างความผิดเรื่องที่มีโจรเร่ร่อนปรากฏตัวในอาณาเขตจยาหนานเพราะปราบปรามโจรได้ทันท่วงที

มาตรว่าเจ้าเมืองหลี่จะเชื่อฝีมือของคนที่ขอตัวมาก่อนหน้านี้เป็นอันมาก แต่คนอย่างเขามิใช่พวกมุทะลุวู่วามที่เพิ่งเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนาง ตอนที่ตกลงปลงใจว่าจะกำจัดกวนจวินโหวก็คิดถึงผลในทางร้ายที่สุดไว้ล่วงหน้าแล้ว

เจ้าหน้าที่และทหารเกือบพันคนนั่นถูกระดมกำลังเตรียมไว้แต่แรก เพลานี้ตัดสินใจว่าจะทุบหม้อข้าวจมเรือย่อมจะมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วและตรงดิ่งไปที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋น

คืนมืดลมแรง เสียงฆ่าฟันประสานเสียงฝีเท้าดังสะเทือนหูทำให้ทุกเหย้าเรือนปิดประตูหน้าต่างจนสนิท ไม่มีแม้แต่ความกล้าจะเยี่ยมหน้าดูสักแวบเดียว

ค่ำคืนนี้จะมีคนนอนคลุมโปงตัวสั่นเทามากเท่าไรก็สุดจะรู้ได้

เหล่าภูตผีออกอาละวาดกลางดึก เภทภัยใหญ่หลวงจะเยี่ยมกรายมาสู่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นแล้วหรือ

บทที่ 424

“ท่านแม่ทัพ ด้านนอกมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ ขอรับ” เฉินกวงตวัดดาบในมือจัดการคนชุดดำไปได้หนึ่งคนแล้วกระโจนกายมาอยู่ข้างๆ ผู้เป็นนายพร้อมกล่าวขึ้น

เซ่าหมิงยวนจับสังเกตได้แล้วว่าสถานการณ์ผิดปกติไปทว่าสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาออกคำสั่งเสียงราบเรียบ “ไปดูด้านนอกสิ”

“น้อมรับคำสั่ง” เฉินกวงฝ่าผ่านหมู่คนที่โรมรันพันตูกันอยู่ปีนขึ้นไปบนขอบกำแพง เห็นเจ้าหน้าที่ทางการกับทหารประจำเมืองชูคบเพลิงเต็มพรืดไปหมดก็หน้าถอดสีไปถนัดตา เขากระโดดลงพื้นแล้ววิ่งไปหาเซ่าหมิงยวนอย่างร้อนรน

“ท่านแม่ทัพ มีทหารมากมายปิดล้อมพวกเราไว้แล้ว”

“เท่าไร” เซ่าหมิงยวนเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น

สำหรับคนที่รบทัพจับศึกมาเป็นเวลานานเช่นพวกเขาย่อมกะประมาณจำนวนคนได้แม่นยำกว่าคนทั่วไปมากนัก เฉินกวงกล่าวโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ “ข้าคะเนว่ามีถึงเจ็ดแปดร้อยคนขึ้นขอรับ”

“เจ็ดแปดร้อยคน?” เซ่าหมิงยวนยิ้มเยาะ “เจ้าเมืองหลี่จะทุบหม้อข้าวจมเรือแล้วจริงๆ”

“ท่านแม่ทัพ พวกเราจะทำฉันใดกันดีขอรับ”

“เจ้าไปคุ้มครองพวกคุณหนูหลีให้ดี จะให้เกิดอะไรขึ้นกับนางไม่ได้”

“ขอรับ ข้าจะคุ้มครองฮูหยินแม่ทัพเป็นอย่างดีแน่นอน” เฉินกวงยืดอกกล่าว

คิ้วเข้มพาดเฉียงของชายหนุ่มเลิกขึ้นสูง

เฉินกวงยกมือปิดปาก หมุนกายออกวิ่งไป แย่แล้ว เพราะสถานการณ์รบอยู่ในภาวะคับขันเลยหลุดปากพูดโดยไม่ระวัง

เซ่าหมิงยวนมองตามแผ่นหลังของเฉินกวงพลางหัวเราะในลำคอ เจ้าเฉินกวงคนนี้พูดจาได้เข้าทีดีแท้

ประตูทางเข้าเรือนของหญิงขายเต้าหู้พังไปนานแล้ว คนด้านนอกที่ยืนอยู่หน้าประตูเริ่มตะโกนพูด

“โจรที่อยู่ในนั้นฟังให้ดี! ท่านเจ้าเมืองมาถึงแล้ว พวกเจ้ารีบวางอาวุธมอบตัวเสีย ไม่เช่นนั้นพวกข้าบุกเข้าไปแล้วจะไม่ไว้ชีวิตแม้แต่คนเดียวเป็นการขจัดเภทภัยให้ราษฎร!”

เสียงต่อสู้กันในลานเรือนเงียบลง

เซ่าหมิงยวนก้าวขาเดินไปทางข้างนอก

หยางโฮ่วเฉิงอดร้องเรียกไม่ได้ “ถิงเฉวียน คนที่เจ้าเมืองหลี่คิดจะฆ่าไม่ให้เหลือมิใช่โจรแต่เป็นพวกเรา”

เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะน้อยๆ “ข้ารู้”

เขากล่าวคำนี้แล้วสาวเท้าไปตรงประตูใหญ่

กำลังทหารที่เรียงรายเป็นแผงจนมองไม่เห็นท้ายแถวอยู่ด้านนอกยังมีจำนวนมากกว่าคนในหมู่บ้านไป๋อวิ๋น เพราะพวกเขาถือคบเพลิงไว้ ส่งผลให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เจ้าเมืองหลี่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างหน้า เขามองเห็นชายหนุ่มที่เดินออกมาก็แสยะยิ้มอย่างอำมหิตอยู่ใต้แสงไฟ

เผชิญหน้ากับเทพสงครามตามเสียงเล่าขาน เจ้าเมืองหลี่ดูจะระแวดระวังตัวอย่างยิ่งยวด ทหารสองคนถือโล่ในมือคอยคุ้มกันเขาอย่างแน่นหนามิดชิด

“ที่แท้เป็นใต้เท้าหลี่นั่นเอง” เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ความสุขุมเยือกเย็นของเขาทำให้เจ้าเมืองหลี่ไม่พึงพอใจ เขาแค่นเสียงกล่าว “ท่านโหวมีวรยุทธ์สูงส่งเหนือใครดังคาด โจรเร่ร่อนตั้งมากมายปานนั้นยังทำร้ายท่านไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ”

แม่ทัพหนุ่มยิ้มบางๆ “ดังนั้นใต้เท้าหลี่เลยมาช่วยพวกโจรอีกแรงหนึ่งใช่หรือไม่”

สีหน้าของเจ้าเมืองหลี่แปรเปลี่ยนไปกะทันหัน เขานึกว่าถึงขั้นนี้แล้วชายหนุ่มเบื้องหน้าต้องยอมอ่อนข้อลง แต่ถึงไม่อ่อนข้ออย่างน้อยก็ต้องเผยสีหน้าแตกตื่นทำอะไรไม่ถูกให้เห็น

ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีสักอย่าง ไม่เพียงไม่มี ทั้งยังเป็นฝ่ายชิงฉีกหน้าแตกหักก่อน

เจ้าเมืองหลี่ประจักษ์ได้เช่นนี้ก็ยิ่งไม่พึงพอใจ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “ข้านับถือท่านโหวจริงๆ ที่ในเวลาเช่นนี้ยังทำหน้าตาไม่ทุกข์ร้อนได้อีก”

เซ่าหมิงยวนสบตากับเจ้าเมืองหลี่ด้วยสายตาสงบนิ่ง เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “นั่นเป็นเพราะใต้เท้าหลี่ไม่รู้จักข้าดี กลัวก็เป็นเช่นนี้ ไม่กลัวก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว จะทดท้อใจไปไยเล่า ใต้เท้าหลี่ ท่านว่าใช่หรือไม่”

เจ้าเมืองหลี่หัวร่อเสียงดัง “ท่านโหวกลับเป็นผู้ที่คิดอ่านได้แจ่มชัด! น่าเสียดายว่าหากมิใช่ท่านบีบคั้นกันอย่างไม่ลดละ คนอย่างท่านโหว ข้ารู้สึกเลื่อมใสนัก”

เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วน้อยๆ “ข้าฟังคำกล่าวนี้ของใต้เท้าหลี่ไม่เข้าใจ ระยะนี้ข้าออกไปเยี่ยมเยียนสหายทุกวัน เป็นการบีบคั้นท่านอย่างไม่ลดละจากเหตุผลใดกันเล่า”

เจ้าเมืองหลี่แค่นหัวเราะ “บีบคั้นอย่างไม่ลดละหรือไม่ ท่านโหวรู้ดีแก่ใจ”

“เอ๊ะ?” ดวงตาของแม่ทัพหนุ่มเปล่งประกายวูบหนึ่ง “ข้าจะเข้าใจได้ที่ใดกันเล่า ข้าเพียงอยากหาตัวฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังการสังหารครอบครัวท่านพ่อตาข้าออกมา ใครจะรู้ว่าจะไปละเมิดข้อห้ามของใต้เท้าหลี่เข้า เรื่องมาถึงขั้นนี้ข้าจะขอให้ท่านไขความกระจ่างให้ได้หรือไม่ว่าการตายของชาวสกุลเฉียวเกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่”

เจ้าเมืองหลี่ไม่มีทางโฉดเขลาถึงกับยอมรับเรื่องนี้กับปากต่อหน้าธารกำนัล เขากล่าวด้วยรอยยิ้มแฝงเล่ห์ร้าย “หากท่านโหวมีข้อกังขา มิสู้ไปถามไถ่จากท่านพ่อตาของท่านเองเถอะ”

เขายกมือขึ้นจะออกคำสั่งให้ลงมือได้ จู่ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ช้าก่อน!”

เจ้าเมืองหลี่ชะงักมือ อดเหลียวหน้าไปไม่ได้

เจียงอู่ในชุดเสื้อแพรรัดสายคาดเอวนกหลวน* รูปลักษณ์กิริยาสง่าผ่าเผย เขานำพาองครักษ์จินหลินกองหนึ่งเดินเข้ามา

เจ้าเมืองหลี่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ในเวลาเช่นนี้เขาไม่แจ่มแจ้งว่าเหตุใดองครักษ์จินหลินถึงยื่นมือก้าวก่าย เขานึกว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะเข้าใจอะไรๆ ได้ตรงกันมาตั้งนานแล้วจึงจะถูก

“ท่านเจียงอู่” เจ้าเมืองหลี่ประสานมือคารวะ

เจียงอู่ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าเมืองหลี่กับเซ่าหมิงยวน เขาคารวะทักทายเซ่าหมิงยวนก่อนค่อยยกยิ้มไต่ถามเจ้าเมืองหลี่ “นี่ใต้เท้าหลี่ทำอะไรหรือ”

“ข้าได้รับข่าวว่ามีโจรเร่ร่อนกบดานอยู่ที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋น จึงตั้งใจนำกำลังทหารบุกมาปราบปรามขอรับ” เจ้าเมืองหลี่ตอบยิ้มๆ

เจียงอู่ขมวดคิ้ว “เสียงดังเอะอะเหลือเกิน”

“หลายวันก่อนข้าได้บอกกล่าวกับท่านเจียงอู่แล้วว่าพักนี้ทางจยาเฟิงไม่ค่อยสงบ แล้วก็เป็นไปตามคาด คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เพียงแต่ไม่นึกว่าจะรบกวนท่านให้รำคาญใจ ต้องขออภัยท่านด้วยขอรับ” เจ้าเมืองหลี่กล่าวอย่างมีนัยลึกซึ้ง

เจียงอู่เหยียดมุมปาก ท่านพ่อบุญธรรมเคยบอกว่าเจ้าเมืองหลี่ผู้นี้เป็นคนของสมุหราชเลขาธิการหลัน เมืองจยาหนานตั้งอยู่ในชัยภูมิพิเศษ เขาในฐานะเจ้าเมืองเลยกลายเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างเมืองหลวงกับทางทะเลแดนใต้ หลายๆ เรื่องที่เปิดเผยให้ใครรู้ไม่ได้ล้วนได้เจ้าเมืองจยาหนานเป็นคนลงมือสะสาง

แม้นคนผู้นี้เป็นเจ้าเมืองเล็กๆ ผู้หนึ่ง แต่เขากลับล่วงเกินอีกฝ่ายได้ไม่ถนัด

“ท่านเจียงอู่ ถึงแม้โจรเร่ร่อนจะดุร้ายเจ้าเล่ห์ แต่ข้านำกำลังเกือบหนึ่งพันคนมาปราบปราม ทางนี้คงไม่ต้องให้ท่านวุ่นวายใจ รอเมื่อเหตุการณ์คลี่คลายลงข้าจะเชิญท่านไปร่วมดื่มสุรากันสักจอกที่หอเยี่ยนหยางนะขอรับ”

เจียงอู่มองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่งแล้วนิ่งตรึกตรองครู่เดียวก็ตัดสินใจได้ เขาส่งยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าเมืองหลี่ “ใต้เท้าหลี่ แต่ไรมาการปราบโจรมิใช่หน้าที่ของกององครักษ์จินหลิน ข้าไม่สนใจจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่นี่ แต่ข้าต้องการคนผู้หนึ่ง”

“ท่านต้องการใครหรือ” เจ้าเมืองหลี่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง

เจียงอู่คงไม่ได้ต้องการตัวกวนจวินโหวกระมัง เรื่องราวล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ กวนจวินโหวจะมีชีวิตอยู่จนเห็นแสงตะวันพรุ่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเจียงอู่ยืนอยู่ข้างเดียวกับกวนจวินโหวจริงๆ หรือว่าเขาต้องแตกหักกับกององครักษ์จินหลิน

“ข้าต้องการคุณหนูหลีที่อยู่ข้างกายกวนจวินโหวผู้นั้น” เจียงอู่บอกด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า

เจ้าเมืองหลี่ไม่ทันได้แสดงท่าทีใดๆ เซ่าหมิงยวนก็เดือดดาลอย่างหนักแล้ว “เจ้าพูดอีกทีสิ?”

ดวงตาของเจียงอู่ไหววูบ เขาคลายยิ้ม “ท่านโหวเข้าใจผิดแล้ว ข้าอยากคุ้มครองคุณหนูหลีเท่านั้น หาได้มีความหมายอื่นใดไม่”

มาตรว่าเขาจะรู้สึกฉงนฉงายกับคำสั่งของบิดาบุญธรรมอย่างมาก แต่ไม่มีวันฝ่าฝืนเด็ดขาด

ปัญหาระหว่างเจ้าเมืองหลี่กับกวนจวินโหวซับซ้อนยุ่งเหยิงเกินไป เขาคร้านจะเอาตัวเข้าไปพัวพัน ขอเพียงมีคำอธิบายให้ท่านพ่อบุญธรรมได้เท่านั้นเป็นพอ

ร่างของเด็กสาวปรากฏขึ้นข้างกายเซ่าหมิงยวน

“เจ้าออกมาด้วยเหตุใด” เซ่าหมิงยวนเบนหน้าไปถามนาง แววตาแข็งกร้าวอ่อนละมุนลงในพริบตา

“ข้าได้ยินว่ามีคนอยากพาข้าไป”

เจียงอู่ยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นคุณหนูหลีเต็มใจติดตามข้าไปหรือไม่เล่า”

กลุ่มของกวนจวินโหวถูกคนนับพันโอบล้อมไว้ มีแต่ตายสถานเดียว โอกาสรอดชีวิตเช่นนี้แม่นางน้อยต้องคว้าไว้เป็นแน่กระมัง

เฉียวเจามองเจียงอู่ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จู่ๆ ก็คลี่ยิ้มหวาน “ข้าไม่เต็มใจติดตามท่านไป ข้าต้องการให้ใต้เท้าเจียงอยู่ที่นี่”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 .. 65  เวลา 12.00 .

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: