ความจริงไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่มีข้อกังขานี้ แม้แต่ซูกุยเยี่ยนน้องชายแท้ๆ ก็บังเกิดความงุนงงในใจ
โดยเฉพาะหลังจากกินอาหารเสร็จแล้วเดินเล่นอยู่ในลานเรือน ซูลั่วอวิ๋นเดินด้วยฝีเท้าคล่องแคล่วว่องไวอย่างมั่นใจ ตอนเดินผ่านบ่อปลากับแปลงบุปผายังแย้มยิ้มยกมือชี้บอกบิดาว่ามีการปรับปรุงซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆ ตรงจุดใดของเรือนหลังเก่าบ้าง
หากมิใช่ล่วงรู้มาก่อน ใครจะนึกว่าสตรีที่พูดจาฉาดฉานนางนี้เป็นคนตาบอดเล่า
รอจนกระทั่งคนอื่นๆ พากันกลับห้องพักผ่อน ซูกุยเยี่ยนถึงมีเวลาอยู่กับพี่สาวตามลำพัง เขาถามนางอย่างอดใจรอไม่ไหวทันทีว่าดวงตาของนางอาการดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่
ซูลั่วอวิ๋นยิ้มขื่นๆ “คนตาบอดจำเป็นต้องใช้มือคลำทางเงอะๆ งะๆ ถึงจะเหมือนคนตาบอดเช่นนั้นหรือ ถึงแม้เครื่องเรือนในห้องโถงใหญ่จะเปลี่ยนที่วาง แต่เถียนมามาพาสาวใช้ไปสำรวจดูความเปลี่ยนแปลงในห้องโถงใหญ่ล่วงหน้าแล้วกลับมารายงานให้ข้ารู้ และเจ้าคงไม่สังเกตว่าเซียงเฉ่าสาวใช้ด้านหลังข้าจะกระแอมกระไอเป็นระยะ ถ้าตรงหน้ามีสิ่งกีดขวาง นางจะคอยเตือนข้าด้วยวิธีนี้ จะถือว่านางเป็นดวงตาอีกคู่หนึ่งของข้าก็ว่าได้”
ซูกุยเยี่ยนได้ฟังคำอธิบายของพี่สาวแล้วก็อดผิดหวังไม่ได้ เขามองดูนางด้วยจิตใจที่ระคนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
แต่ซูลั่วอวิ๋นกลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนท่านแม่ตั้งชื่อให้ข้าคงจะมองเห็นชะตากรรมของข้าในอนาคตล่วงหน้า ถึงได้ตั้งชื่อว่าลั่วอวิ๋น* จริงอยู่ว่ารสชาติของการตกสวรรค์จะทำใจยอมรับได้ยาก แต่การล้มลงคลุกฝุ่นดินนับเป็นความโชคดีในอีกทางหนึ่ง ถึงข้าจะตาบอด ทว่าสองปีที่อยู่อย่างสงบในชนบทกลับขบคิดเรื่องต่างๆ ได้กระจ่างแจ้ง…”
ซูกุยเยี่ยนมุ่นคิ้วพลางไต่ถาม “ท่านคิดอะไรได้กระจ่างแจ้งหรือ เกี่ยวกับ…ไฉ่เจียนใช่หรือไม่ขอรับ”
พี่สาวของเขาเกิดอุบัติเหตุขึ้นที่เรือนของซูไฉ่เจียนนั่นเอง ตอนนั้นสกุลลู่จะมาพูดคุยทาบทามเรื่องการแต่งงาน เมื่อสิบปีที่แล้วนายท่านทั้งสองตระกูลเพียงตกลงเกี่ยวดองกัน แต่ยังไม่เจาะจงว่าจะสู่ขอบุตรสาวคนใดของสกุลซูไปเป็นลูกสะใภ้ของสกุลลู่
คุณชายลู่ถูกตาต้องใจคนพี่ แต่ลู่ฮูหยินพึงใจคนน้องมากกว่าเพราะมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับติงซื่อ
กระนั้นผู้เป็นมารดาไม่อาจขัดใจบุตรชายได้ สุดท้ายจึงตกลงใจเลือกพี่สาว ซูไฉ่เจียนมีใจเสน่หาต่อคุณชายลู่ หลังจากนางรู้เรื่องนี้แล้วก็มาร้องไห้ก่อกวนพี่สาว จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น
เนื่องจากขณะนั้นอยู่ที่เรือนของคุณหนูรอง นอกจากคนในเรือนนางแล้วก็ไม่มีใครเห็นว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร
ภายหลังทุกคนเพียงฟังจากคำบอกเล่าของสี่เชวี่ยสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูรองว่าคุณหนูใหญ่เดินทรงตัวไม่ดีเองจึงล้มศีรษะกระแทกกับม้านั่งหินด้านข้างจนเลือดไหลหมดสติไปสองวัน เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งดวงตาก็มองไม่เห็นแล้ว
แม้ว่าหลังซูลั่วอวิ๋นฟื้นคืนสติแล้วยืนยันว่าซูไฉ่เจียนเป็นคนผลักนาง ทว่าน้องสาวไม่พูดโต้แย้งสักคำ เอาแต่ร่ำไห้น้ำตานองหน้าดุจบุปผาต้องฝน ท่าทางดูอ่อนแอบอบบางน่าทะนุถนอมละม้ายคล้ายมารดาติงซื่อ
ส่วนบิดาก็มักลำเอียงเข้าข้างบุตรของติงซื่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กอปรกับมีคนรอบข้างเป็นประจักษ์พยานพร้อมมูล ต่างพูดว่าหลังซูลั่วอวิ๋นล้มหมดสติไปคงสับสนจำผิดจำถูก ซูหงเหมิงจึงทำตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยด้วยความยินดี แค่ลงโทษซูไฉ่เจียนให้คุกเข่าในหอพระหนึ่งวันแล้วไม่อนุญาตให้ใครเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นบุตรสาวของเขา คนหนึ่งตาบอดไปแล้วเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ จะให้อีกคนถูกตราหน้าว่าทำร้ายพี่สาวจนเสื่อมเสียชื่อเสียงก็คงไม่ได้กระมัง
ปกติซูไฉ่เจียนเป็นเด็กสาวที่แม้แต่แมลงก็ไม่กล้าเหยียบย่ำด้วยซ้ำ แล้วจะจงใจทำร้ายพี่สาวได้อย่างไร นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าใครก็จนปัญญา
ทว่าคุณชายลู่กลับดึงดันไม่ยอมเปลี่ยนตัวคู่หมั้นจนแล้วจนรอด สุดท้ายเมื่อหนึ่งปีก่อนลู่ฮูหยินคิดหาวิธีประนีประนอมได้ นางให้บุตรชายแต่งซูไฉ่เจียนคนน้องเป็นภรรยาก่อน รออีกสักระยะหนึ่งค่อยรับซูลั่วอวิ๋นเข้าจวน เช่นนี้ถือเป็นการช่วยให้หญิงพิการที่ออกเรือนไม่ได้คนนี้ได้มีที่พึ่งพิงแล้ว
เอาเป็นว่าระหว่างนั้นก็เกิดเหตุพลิกผันไปมาไม่น้อยกว่าที่สกุลลู่กับสกุลซูจะตกลงให้บุตรชายบุตรสาวหมั้นหมายเป็นทองแผ่นเดียวกันได้
ไฉนเลยจะรู้ว่าซูลั่วอวิ๋นซึ่งอยู่ที่เรือนหลังเก่าจะไม่ยอมทำตามความประสงค์ของผู้อาวุโส นางเผาจดหมายที่ได้รับจากคุณชายลู่ก่อนหน้านี้จนเป็นเศษขี้เถ้าแล้วโกยใส่ลงในกล่องไม้ จากนั้นก็ไหว้วานคนส่งคืนไปให้ถึงมืออีกฝ่าย