นางพูดอย่างชัดเจนว่าตนเองไม่เกี่ยวข้องกับคุณชายลู่อีกต่อไป วันหน้าถ้าทั้งคู่พบเจอกันก็คงเหลือแต่คำเรียกขานว่า ‘น้องเขย’ หากเขาเอ่ยถึงเรื่องให้พี่สาวน้องสาวแต่งสามีคนเดียวกันกับสกุลซูอีก นางจะเข้าอารามชีปลงผมออกบวชทันที
ต่อมาภายหลังจึงไม่มีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก มีเพียงคุณหนูรองซูไฉ่เจียนที่เตรียมสินเดิมเจ้าสาวเย็บผ้าห่มมงคลรอออกเรือนไปที่สกุลลู่อย่างสุดแสนยินดีปรีดา
ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ซูกุยเยี่ยนยังคงปักใจเชื่อว่าน้องสาวต่างมารดาเป็นคนทำร้ายพี่สาว พอได้ยินซูลั่วอวิ๋นบอกว่า ‘คิดเรื่องต่างๆ ได้กระจ่างแจ้ง’ เขาก็นึกถึงอุบัติเหตุนั่นทันควัน
แต่ซูลั่วอวิ๋นกลับมีสีหน้าปกติ “อย่าเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก ทุกคนล้วนพูดว่าข้าล้มลงไปเอง หากยังติดใจเอาความอย่างไม่ลดละก็ดูเหมือนข้าใส่ความน้องสาว…จริงสิ สองปีนี้เจ้าทำตามที่ข้าบอกหรือไม่”
ซูกุยเยี่ยนพยักหน้าทันที “ตอนนั้นท่านให้ข้าซ่อนคมไว้บ้าง ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ตรวจดูแบบฝึกหัด ข้าจะจงใจทำผิดบางจุดไว้เสมอ ส่วนการท่องจำบทกลอนกับบทเรียนก็ช้ากว่าพวกจิ่นกวนกับจิ่นเฉิงสองวัน…จนท่านอาจารย์คิดว่าข้าห่วงเล่นเกียจคร้านแล้ว ท่านพ่อไม่ชมชอบที่ข้าเป็นเช่นนี้ มักดุด่าข้าบ่อยๆ บางครั้งข้าก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้จริงๆ แต่พอนึกถึงที่ท่านกำชับตอนนั้นจึงอดทนไว้ขอรับ”
ซูลั่วอวิ๋นได้ยินแล้วก็ลูบหน้าน้องชายอย่างสงสารเห็นใจ “เจ้าเก่งกว่าข้า ตอนข้าอายุเท่าเจ้าหากข่มอารมณ์ไว้ได้ก็คงดี จำไว้ว่าหลังจากนี้อย่าไปประชันขันแข่งกับสองพี่น้องนั่น เวลานี้ข้ายังไม่มีกำลังความสามารถอะไร ไม่อาจปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยได้ หากเจ้าทำตัวโง่เขลาสักหน่อย ตอนอยู่ในจวนถึงจะมีอิสระ…”
ความจริงแล้วซูกุยเยี่ยนท่องจำบทเรียนได้เร็วกว่าสองพี่น้องคู่นั้นมาก บางคราเห็นน้องชายสองคนจงใจอวดฉลาดก็เป็นเรื่องสนุกขบขันสำหรับเขาเช่นกัน
กระนั้นในใจเด็กหนุ่มก็มีข้อกังขาอยู่ เขายังคงไม่เข้าใจที่พี่สาวให้ทำเช่นนี้ “พี่ลั่วอวิ๋น ท่านจะบอกว่าท่านแม่เล็กไม่อยากให้ข้าเก่งกว่าน้องชายสองคนหรือ”
ซูลั่วอวิ๋นยื่นมือไปลูบแก้มน้องชายพลางกล่าวเสียงนุ่ม “ยามนี้สกุลซูเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ลำพังแค่ร้านเครื่องหอมก็ขายดิบขายดีจนมีเงินทองไหลมาเทมา วันหน้าใครจะได้สืบทอดร้านนี้ต้องเป็นเรื่องที่สั่นคลอนจิตใจคนเป็นแน่แท้ ข้าถูกท่านพ่อไล่กลับมาที่เรือนหลังเก่าแล้ว ส่วนเจ้ามีฐานะเป็นบุตรชายคนโต แต่กลับไม่มีญาติสนิทคอยช่วยเหลือเกื้อกูล หากดูฉลาดหลักแหลมเกินไป ข้ากลัวเจ้าจะอับโชคไร้วาสนา”
คนนอกอาจไม่ล่วงรู้ แม้จะบอกว่าซูไฉ่เจียนอายุน้อยกว่าซูกุยเยี่ยนหนึ่งปี แต่ความจริงนางเกิดก่อนเขาหนึ่งปี ปีนี้จึงมีอายุสิบเจ็ดปีเต็มแล้ว
ติงซื่อรู้จักกับซูหงเหมิงซึ่งเป็นพ่อค้าที่เมืองเฉิงตูและตั้งครรภ์ซูไฉ่เจียนตั้งแต่หูซื่อยังมีชีวิตอยู่
บิดาไม่อยากให้บุตรสาวลับๆ ที่มีกับติงซื่อถูกตราหน้าว่าเป็นสายเลือดอนุ จึงแข็งใจปกปิดไว้ จวบจนมารดาล่วงลับไปหนึ่งปีถึงบันทึกชื่อซูไฉ่เจียนลงในผังวงศ์ตระกูล
สุดท้ายซูไฉ่เจียนในนามบุตรที่เกิดกับภรรยาใหม่ตามธรรมเนียมจึงกลายเป็นบุตรสาวภรรยาเอกอย่างถูกต้องชอบธรรม
เมื่อก่อนซูลั่วอวิ๋นมิได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่าน้องสาวคนนี้โตไว พูดจาคล่องแคล่วชัดถ้อยชัดคำกว่าเด็กวัยเดียวกัน จนกระทั่งปีที่ตนเองอายุสิบสองถึงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้
เวลานั้นนางจึงเข้าใจที่มารดาโศกเศร้าตรอมตรมก่อนสิ้นลมในที่สุด ส่วนมารดาเลี้ยงที่ปกติอ่อนหวานยิ้มแย้มอัธยาศัยดีผู้นี้ไม่ได้ธรรมดาสามัญอย่างที่เห็นภายนอก!
นับแต่นั้นเป็นต้นมานางเริ่มตั้งตนเป็นปรปักษ์กับมารดาเลี้ยง ขณะที่ติงซื่อก็เห็นนางเป็นหอกข้างแคร่
นางไม่อยากบอกเรื่องพวกนี้กับน้องชายมากเกินไป เขาอายุยังน้อย ถ้าเกิดหมางใจกับติงซื่อเหมือนนางในครั้งนั้น ฝ่ายที่ถูกเล่นงานจะต้องเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่สามารถแยกเรือนตั้งตระกูลใหม่เองได้คนนี้แน่นอน