บทที่ 5
หลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เรือนหลังเก่าและบรรยากาศวันปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไป เหล่าเจ้านายสกุลซูก็เตรียมเดินทางกลับเมืองหลวงกันแล้ว
ซูหงเหมิงตั้งใจเลือกซื้อของฝากพื้นเมืองมากมาย ทั้งยังไหว้วานให้คนซื้อหาวัตถุโบราณกับภาพวาดไว้ล่วงหน้า รวมถึงสุกรก้นดำของดีประจำท้องถิ่นอีกหกตัว เตรียมนำกลับไปมอบให้สหายขุนนาง
เพราะว่ามีข้าวของมากเกินไปจึงต้องเช่าเรือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งลำ ตอนที่ทุกคนมาถึงท่าเรือก็เห็นเรือจอดอยู่เนืองแน่นเตรียมตัวออกจากท่า
ท่าเรือหลังวันปีใหม่มักมีสภาพเช่นนี้เป็นนิจ พ่อค้าจากทั่วทุกสารทิศที่หยุดพักในช่วงวันปีใหม่ล้วนเริ่มออกเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้กันแล้ว
ทว่าซูหงเหมิงลงจากรถม้าได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากท่าเรือ
ซูไฉ่เจียนยื่นศีรษะออกมานอกรถม้าอีกคันหนึ่ง “เกิดอะไรขึ้น ข้างหน้ามีงิ้วหรือไร เหตุใดผู้คนถึงล้อมวงมุงดูกันมากมายเพียงนั้น”
บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งไปดูลาดเลาแล้วย้อนกลับมาบอกเสียงกระหืดกระหอบ “ทางการส่งทหารมาปิดล้อมท่าเรือไว้ บอกว่าจะจับกุมพวกโจรร้ายที่ให้ความช่วยเหลือกองทัพกบฏ ตอนนี้กำลังไล่ตรวจค้นเรือทีละลำอยู่ เรือของพวกเราก็ถูกกักไว้ ชั่วขณะนี้คงออกจากท่าไม่ได้ขอรับ”
ซูหงเหมิงรีบพาคนไปดู ไม่ผิดจริงๆ! มีทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเดินขึ้นลงตามเรือสินค้าต่างๆ ไม่รู้ว่ากำลังตามจับผู้กระทำความผิดอะไรกันอยู่
ตอนนี้เองซูกุยเยี่ยนซึ่งนั่งรถม้าคันเดียวกับน้องชายสองคนก็หันไปมองข้างหลัง แต่กลับไม่เห็นรถม้าของพี่สาว
เขาสั่งบ่าวรับใช้ให้ขี่ม้ากลับไปตามหา ถึงได้รู้ว่ารถม้าของซูลั่วอวิ๋นล้อหลวมจากแรงสะเทือนกลางทาง สารถีจึงต้องหยุดซ่อมพักหนึ่งถึงจะตามมาได้
นายท่านใหญ่สกุลซูกลัวจะเสียเวลาเดินทาง ไม่มีแก่ใจคำนึงถึงบุตรสาวคนโตที่จะมาถึงล่าช้า เขาให้บ่าวรับใช้ไปสอบถามหัวหน้าทหารที่ค้นเรืออยู่ว่าจะเปิดทางสะดวกให้แก่ใต้เท้าซูเจ้าหน้าที่ดูแลห้องคลังของกองการค้าหลวงจากเมืองหลวง ช่วยตรวจค้นเรือของสกุลซูก่อนเพื่อจะได้ออกจากท่าเร็วขึ้นได้หรือไม่
แต่น่าเสียดายที่ในสายตาของหัวหน้าทหารเหล่านั้นตำแหน่งขุนนางประจำห้องคลังซึ่งได้มาไม่ง่ายดายนี้กลับเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อยที่แสนธรรมดาเท่านั้น พวกเขาไม่แยแสคำพูดของบ่าวรับใช้แต่อย่างใด
ใต้เท้าซูยังไม่ทันได้สำแดงบารมีเป็นครั้งแรกในวันปีใหม่ ติงซื่อก็สั่งให้บ่าวรับใช้เอาเงินสองสามถุงซุกไว้ในอกเสื้อแล้วไปสอบถามอีกคราอย่างมีไหวพริบ
การตรวจค้นก่อนหน้านี้มีปัญหาแค่ว่าจะเปิดทางสะดวกให้แทรกตัดหน้าได้หรือไม่ แต่พวกเขามาถึงช้าเกินไป มีคนรออยู่ข้างหน้าไม่น้อยแต่แรก ถ้าต่อแถวข้างหลังเรือสินค้าพวกนั้นตามลำดับ เห็นทีว่าต้องค้างแรมที่ท่าเรือแล้ว
เงินทองเป็นใบเบิกทางได้ทั่วหล้าจริงดังคาด พอส่งเงินให้สองสามถุง หัวหน้าทหารผู้นั้นมองดูป้ายผ่านทางกับหนังสือราชการที่บ่าวรับใช้ยื่นมาให้หลายคราก็เอ่ยปากขึ้น
“ในเมื่อใต้เท้าจากเมืองหลวงต้องกลับไปรับตำแหน่ง ย่อมล่าช้าไม่ได้เป็นธรรมดา ทหาร…ไปตรวจค้นเรือสองลำของสกุลซูก่อน”
เพราะเรือที่เช่ามาทีหลังยังมีวัตถุโบราณกับภาพวาดที่ซูหงเหมิงทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมา สิ่งของเหล่านี้ล้วนล้ำค่าราคาแพง ผู้ดูแลสองคนจึงตามลงเรือไปด้วย พอเห็นพวกทหารมือหนักไม่ปรานีก็หายใจไม่ทั่วท้อง รีบยื่นเงินให้พวกทหารอีกพร้อมกับขอร้องให้พวกเขาเบามือลงบ้างตามที่ติงซื่อกำชับไว้
เมื่อทหารพวกนั้นได้รับสินน้ำใจแล้วก็ตรวจค้นดูผ่านๆ พอเป็นพิธีด้วยความยินดี
ด้วยเหตุนี้สกุลซูที่อาศัยอำนาจเงินตราก็ลงเรือออกเดินทางไปก่อนล่วงหน้าท่ามกลางเสียงบ่นว่าด่าทอของฝูงชนที่เข้าแถวอยู่
หัวหน้าทหารผู้นั้นยังกระซิบบอกคนสกุลซูว่าถ้าจะไปก็ให้รีบสักหน่อย หาไม่แล้วอีกสักพักหาคนไม่พบเป็นไปได้มากว่าจะสั่งปิดล้อมแม่น้ำทั้งสาย ไม่ปล่อยให้เรือของใครผ่านไปได้ ซูหงเหมิงได้ยินแล้วจึงออกเดินทางทันทีอย่างทนรอไม่ไหว ไม่ยอมให้เรื่องนี้ถ่วงเวลาเขาไปรายงานตัวยังที่ว่าการได้