ทางด้านซูลั่วอวิ๋นต้องเปลี่ยนล้อรถม้ากลางทางเป็นเหตุให้ลงเรือล่าช้า ซูหงเหมิงเพียงให้เรือขนของลำที่สองรออยู่ก่อนครู่หนึ่ง หลังจากกำชับให้คุณหนูใหญ่นั่งเรือลำนี้แล้วก็สั่งให้คนถอนสมอออกเรือลำแรกไปก่อน
ดังนั้นตอนที่ซูลั่วอวิ๋นมาถึง เรือลำแรกก็แล่นห่างไปไกลลิบแล้ว นางได้แต่พาเถียนมามากับเซียงเฉ่าสาวใช้ของตนลงเรือลำที่สอง
เรือลำนี้แล่นตามเรือของสกุลซูไม่ทัน ทั้งยังมีรูโหว่ลมพัดเข้ามาได้ทั้งสี่ทิศ แม้แต่ใต้ท้องเรือก็วางของไว้จนเต็ม ท้ายเรือยังมีกรงใส่สุกรที่ร้องเสียงดังและส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์นัก
เซียงเฉ่าเก็บกวาดมุมหนึ่งจัดที่ทางให้คุณหนูของตนอย่างไม่ง่ายดายเสร็จแล้วก็พูดเสียงฮึดฮัด “เหตุใดต้องเร่งรีบถึงเพียงนี้ รอกันสักนิดก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ…ที่เช่นนี้จะอยู่กันได้อย่างไร”
เพราะพื้นที่คับแคบเกินไป เถียนมามากับเซียงเฉ่าจึงต้องไปที่ห้องโดยสารที่อยู่ติดกันซึ่งหนาวกว่าเพื่อย้ายเตียงไม้กระดานออกมา มิฉะนั้นตลอดการเดินทางสี่วันคงไม่ได้หลับได้นอนกันแล้ว
เรือออกแล่นได้ครู่เดียว อาการเมาเรือง่ายของเถียนมามาก็กำเริบขึ้นมาอีก ทำให้นางอาเจียนอย่างหนัก ซูลั่วอวิ๋นสั่งให้เซียงเฉ่าพยุงเถียนมามากลับไปพักผ่อนที่ห้องโดยสารของนางแล้วค่อยต้มยาแก้อาเจียนให้
เซียงเฉ่าเป็นห่วงคุณหนูของตน แต่ซูลั่วอวิ๋นกลับบอกว่า “อยู่ห่างกันแค่ไม้กระดานไม่กี่แผ่น หากข้ามีเรื่องอะไรตะโกนเรียกเจ้าก็หมดเรื่อง รีบไปต้มยาให้เถียนมามาเถิด คราวก่อนนางดื่มยานั่นแล้วก็หลับไปทันที จะได้ไม่ต้องทรมานมากนัก”
หลังจากเซียงเฉ่าพยุงเถียนมามาออกไปแล้ว ซูลั่วอวิ๋นก็นั่งลงข้างโต๊ะเล็กเงียบๆ ใช้มือคลำเปิดหีบตำราที่ยกลงมาจากรถม้า จากนั้นก็เอาพู่กันจุ่มลงในกล่องหมึกแล้วเริ่มฝึกคัดอักษรบนกระดาษปึกหนึ่ง
ในอดีตซูลั่วอวิ๋นคัดอักษรอวี๋ ได้อ่อนช้อยแต่แฝงไว้ด้วยพลัง ถือได้ว่าเข้าขั้นมีฝีมือ ทว่าหลังจากอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อนนางก็ละเลยการคัดอักษรไปด้วย
ต่อมานางก็คิดหาวิธีได้โดยเอาแผ่นไม้ไผ่มาเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้ววางบนกระดาษเป็นกรอบบอกตำแหน่ง จากนั้นก็ฝึกคัดอักษรจนค่อยๆ คุ้นเคยชำนาญ ถึงไม่ใช้แผ่นไม้ไผ่ก็คัดอักษรได้ตรงบรรทัด
เมื่อเห็นตัวอักษรพลิ้วไหวลื่นไหลเป็นอิสระดุจสายน้ำและงามสละสลวยบรรทัดนั้นแล้ว ใครจะเชื่อว่านี่เป็นลายมือของหญิงตาบอดนางหนึ่ง
นางฝึกคัดไปเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกหนาว นึกถึงที่เซียงเฉ่าบอกว่าหีบอาภรณ์ใบเล็กที่ยกลงมาจากรถม้าอยู่ทางซ้ายก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบ
ทว่าตอนนางเดินไปใกล้ก็พลันได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมา ทำให้ลมหายใจสะดุดไปครู่หนึ่ง
ตั้งแต่ดวงตาพิการ ประสาทรับกลิ่นของซูลั่วอวิ๋นกลายเป็นฉับไวขึ้นเป็นพิเศษ นางมั่นใจได้ว่ากลิ่นคาวเลือดลอยเข้ามากะทันหัน…หรือไม่ก็อยู่ในนี้ตลอด เพียงแต่พอนางอยู่ในระยะใกล้ถึงเพิ่งได้กลิ่น
ซูลั่วอวิ๋นอดชะงักฝีเท้าไม่ได้ นางพูดอย่างลังเลว่า “มีคนอยู่ตรงนี้หรือไม่”
หลังนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ นางก็รีบใช้ความคิด จากนั้นก็หันกายใช้มือคลำผนังห้องใต้ท้องเรือเดินออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าเป็นปกติ ปากก็พูดพึมพำ
“เซียงเฉ่าสาวใช้ตัวดี ไม่รู้หรือว่าข้ามองไม่เห็น ไม่รู้จักเตรียมชาไว้ให้ข้าสักกาก่อนออกไป ช่างเถิด ข้าออกไปหยิบเองดีกว่า”
นางพูดพลางเอามือคลำผนังห้องเดินไปที่ข้างประตู
ระหว่างนี้ซูลั่วอวิ๋นยังสะดุดหีบที่วางอยู่ในห้องจนล้มลงไป แต่นางแค่ย่นหัวคิ้วเข้าหากัน พยุงกายลุกขึ้นอย่างเงอะงะแล้วเดินออกไปข้างนอก
นางจำได้แม่นยำว่าที่ท่าเรือเมื่อครู่นี้กำลังค้นหาตัวผู้กระทำความผิดอยู่ ได้ยินว่าผู้กระทำความผิดได้รับบาดเจ็บ หากนางคาดเดาไม่ผิด ตอนนั้นเจ้าโจรร้ายผู้นั้น…คงซ่อนตัวอยู่ในห้องของนางนั่นเอง!
ซูลั่วอวิ๋นไม่เห็นสภาพโดยรอบภายในห้อง ทั้งยังไม่กล้าตะโกนเรียกคนเข้ามา มิฉะนั้นหากโจรร้ายจะปลิดชีวิตนางก็ทำได้ในชั่วพริบตา
นางเหลือหนทางเดียวคือเดินสะดุดไปตลอดทาง เผยจุดอ่อนของตนให้โจรร้ายล่วงรู้ว่านางคือคนตาบอด ไม่รู้ว่าเขาหลบซ่อนอยู่ในห้องโดยสาร บางทีอาจทำให้เขาล้มเลิกความคิดมุ่งร้ายแล้วปล่อยนางไป
เพียงแต่นางหาได้ล่วงรู้ไม่ว่าชั่วขณะนี้แสงสุดท้ายของวันส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องตกกระทบใบหน้าของนางพอดี แสงสนธยาอาบไล้ดวงหน้าขาวนวลเนียนให้เป็นประกายดุจหยกขาว ท่อนแขนเล็กกลมกลึงโผล่พ้นจากแขนเสื้อหลวมกว้าง นิ้วมือเรียวดุจลำเทียนกำลังลูบคลำผนังไม้ไปทีละคืบ แลดูบอบบางอ่อนแอไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ซูลั่วอวิ๋นรับรู้ได้ชัดเจนว่ากลิ่นคาวเลือดนั้นคล้ายเข้ามาใกล้ ถึงนางไม่ได้ยินเสียงใดๆ แม้แต่น้อยนิด แต่กลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตามสันหลังอย่างไร้สาเหตุ
ยามที่ฝ่ามือหนาแข็งแรงข้างหนึ่งปิดปากนางไว้โดยพลัน ซูลั่วอวิ๋นก็ลอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว!
เห็นทีโจรร้ายคงไม่เชื่อว่านางตาบอดและสงสัยว่านางไหวตัวทันแล้วจะออกไปเรียกคนถึงได้ลงมือ