ข้างหูนางได้ยินเสียงที่จงใจกดต่ำลงติดจะแหบพร่าอยู่บ้างดังขึ้น “ดูจากตัวอักษรของเจ้าไม่เหมือนคนที่ตาบอด แม่นางจะเล่นละครเป็นคนตาบอดโกหกผู้คน แต่สวมบทบาทไม่แนบเนียนเกินไปหรือไม่”
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผู้บุกรุกเห็นว่าสตรีนางนี้จับได้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ ดังนั้นจึงจงใจแสร้งทำเป็นตาบอดหลอกลวงเขา จากนั้นก็เตรียมจะออกไปเรียกคน
ขณะที่ถูกฝ่ามือใหญ่ปิดปากไว้ ซูลั่วอวิ๋นได้กลิ่นการบูรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจางๆ บนฝ่ามือข้างนั้น ผู้ที่คุ้นเคยกับไม้หอมเช่นนางแยกแยะได้ทันทีว่าราคาเครื่องหอมนี้น่าจะแพงลิบ
ดูเหมือนว่าเจ้าโจรร้ายคนนี้ลุ่มหลงในการเสพสุข นอกจากเป็นโจรปล้นสะดม ถึงกับใช้เครื่องหอมราคาแพงเช่นนี้โดยไม่เสียดายเงินทอง
แต่นางไม่มีเวลาคิดอีก ได้แต่กระเสือกกระสนเปล่งเสียงพูดอู้อี้จนดังเล็ดลอดจากฝ่ามือใหญ่ที่ทำให้นางหายใจไม่ออก
“ท่านผู้กล้าอย่าได้ขุ่นเคือง ข้ามองไม่เห็นจริงๆ ในเมื่อท่านลงเรือลำนี้มาได้ก็นับว่าปลอดภัยแล้ว ข้าย่อมไม่ปากพล่อยโดยไม่รู้กาลเทศะ ท่านเองก็จะหนีเอาตัวรอดไปได้ เช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อทุกคนหรือ”
ชั่วขณะนี้นางเอามือกุมท่อนแขนของคนผู้นี้อย่างตึงเครียด รับรู้จากสัมผัสที่ปลายนิ้วได้ว่าเขามีแขนยาวเรียวแข็งแรง กล้ามเนื้อแน่นตึง หากจะหักคอคนคงไม่เปลืองแรงสักน้อยนิด
บัดนี้นางถูกเขาจับตัวไว้ จึงต้องรู้จักมีปฏิภาณไหวพริบ รีบแสดงท่าทีไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องโลกภายนอกออกมาก่อน หวังจะหว่านล้อมคนผู้นี้ให้ละเว้นตนสักครั้ง
ครั้นเห็นเขาไม่ส่งเสียงพูด นางก็ดิ้นรนพูดต่อไปอีก “สองปีก่อนข้าประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บจนดวงตาพิการ แม้จะคัดอักษรได้ดี แต่ข้ามองไม่เห็นจริงๆ ท่านผู้กล้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะจำหน้าท่านได้ ดังคำกล่าวที่ว่าคนลงเรือลำเดียวกันล้วนมีวาสนาต่อกัน ข้าเองก็ยินดีจะแสดงน้ำใจไมตรีและไม่คิดจะเอ่ยปากบอกใครให้ตนเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ท่านสามารถโดยสารเรือลำนี้ได้อย่างวางใจ อีกสักพักหากต้องการขึ้นฝั่ง ข้าจะสั่งคนเรือให้นำเรือไปส่งท่านก็หมดเรื่อง ข้าได้กลิ่นเลือด ท่านน่าจะได้รับบาดเจ็บ ต้องรีบหาหมอจึงจะถูก…”
นางกล่าววาจาได้อย่างเหมาะสม กอปรกับน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน ฟังดูแล้วคล้อยตามได้ง่ายอย่างยิ่ง
คนผู้นี้เห็นสตรีนางนี้มิได้ตะโกนอย่างตื่นกลัว เขาก็คิดว่านางคงรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในนี้แต่แรกแล้ว
กระนั้นเขาก็ยังไม่เชื่อว่านางเป็นคนตาบอดอยู่ดี หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเขาก็ล้วงกริชงามประณีตเล่มหนึ่งออกจากข้อมือ เอาปลายแหลมคมส่องประกายเย็นเยียบแทงตรงไปที่ดวงตาของนาง
ขณะที่ปลายกริชอยู่ห่างจากขนตายาวของซูลั่วอวิ๋นเพียงคืบเดียวก็หยุดนิ่งฉับพลัน
ฝ่ายซูลั่วอวิ๋นถูกจู่โจมกะทันหันกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว นัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้นยังคงมองไปในความว่างเปล่าโดยไม่กะพริบตา
ถ้าเป็นคนปกติถูกจู่โจมโดยไม่ทันระวังตนต้องกะพริบตาอย่างห้ามไม่อยู่เป็นแน่
คนผู้นี้เชื่อแล้วว่านางเป็นคนตาบอดจริงๆ ทว่าฝ่ามือยังไม่คลายออก เขาพูดด้วยเสียงกดต่ำลงดังเดิม “ดูท่าเจ้าจะเป็นคุณหนูของตระกูลมั่งคั่งสูงศักดิ์ ชื่อเสียงย่อมเป็นสิ่งล้ำค่า อีกสักครู่จะมีคนเอาเรือมารับข้า ขอแค่เจ้าไม่ปากพล่อยก็ไม่มีใครรู้ว่าข้าอยู่บนเรือลำนี้ ข้ายังต้องอยู่รบกวนต่ออีกสักสองสามชั่วยาม แม่นางโปรดให้ความร่วมมือด้วย…”
กล่าวจบเขาก็ปล่อยแขนข้างที่พันธนาการซูลั่วอวิ๋นไว้และให้นางกลับไปนั่งข้างโต๊ะ
ถึงซูลั่วอวิ๋นจะมองไม่เห็นการหยั่งเชิงของโจรร้ายเมื่อครู่ แต่นางได้กลิ่นคาวโลหิตปนกับกระแสอันเย็นเยียบของโลหะ จึงรู้ว่าในมือของเขามีอาวุธ
เดิมทีสกุลซูใช้เรือลำนี้ขนของ นอกจากเถียนมามากับเซียงเฉ่าแล้วก็มีตาเฒ่าคนเรือทำหน้าที่กางใบแล่นเรืออีกแค่สองคน ต่อให้ตะโกนเรียกคนมาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโจรร้ายวัยฉกรรจ์ผู้นี้
นางเห็นว่าเขายังพอเจรจากันได้ก็ไม่อยากก่อปัญหา เพียงบอกเขาว่า “อีกสักพักสาวใช้ของข้าอาจเข้ามา ท่านผู้กล้ากรุณาหาที่ซ่อนตัวด้วย จะได้ไม่ต้องหาคำอธิบาย”
อีกฝ่ายมิได้กล่าวตอบ ทว่ากลิ่นคาวโลหิตเหมือนลอยห่างไปไกลขึ้น เขาน่าจะกลับไปหลบอยู่ด้านหลังกองหีบใส่ของแล้ว