บทที่ 6
ซูลั่วอวิ๋นสงบสติอารมณ์แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาคัดอักษรต่อช้าๆ
นางทำได้เพียงอดทนให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไป รอให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของโจรร้ายมารับตัวหายนะไปเสีย ทั้งยังภาวนาให้คนผู้นี้ไม่ใช่โจรปล้นสะดม มิฉะนั้นข้าวของทั้งเรือลำนี้ก็เปรียบดั่งแพะอ้วนพีทีเดียว
ความจริงในใจนางรู้สึกหวาดกลัวมาก ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วหวาดกลัวไปก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากมองไม่เห็นนางเคยสิ้นหวังจนอยากตายมาหลายครั้งหลายครา แต่นางเพิ่งมีเป้าหมายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป กลับต้องมาพบเจอกับเคราะห์ภัยที่คาดไม่ถึง ถูกคนจับตัวไว้บนเรือโกโรโกโสเช่นนี้…
กระนั้นพอได้ประสบกับความไม่แน่นอนของชีวิตมาแล้ว นางกลับสงบจิตใจลงได้เร็วขึ้น
นอกจากตัวอักษรสองสามแผ่นแรกที่คัดผิดพลาดเล็กน้อยเพราะกำลังว้าวุ่นใจ หลายแผ่นที่เหลือนางค่อยๆ สำแดงฝีมือในระดับยอดเยี่ยมออกมา
ผ่านไปได้เพียงชั่วขณะเซียงเฉ่าก็ยกชาร้อนมาหาคุณหนูของตน ตอนเข้าห้องมาไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ เพียงเอ่ยบอกซูลั่วอวิ๋น
“คุณหนูใหญ่ พักสักครู่เถิดเจ้าค่ะ ความจริงลายมือของท่านตอนนี้ไม่ต่างจากก่อนมองไม่เห็นแล้ว คัดนานไปจะปวดมืออีกนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินเซียงเฉ่าเข้ามา ซูลั่วอวิ๋นหาได้โล่งใจไม่ นางกลัวว่าสาวใช้จะจับพิรุธอะไรได้แล้วยั่วโทสะโจรร้ายอีกครา จึงเอ่ยบอกเสียงราบเรียบ
“อีกสักครู่ข้าจะเข้านอนแล้ว เจ้าอย่าเข้ามารบกวน…”
เซียงเฉ่าได้ยินแล้วก็ประคองคุณหนูของตนลงนอนโดยไม่รอช้าถึงได้ออกไป
ซูลั่วอวิ๋นไม่ได้นอนหลับ ขณะนี้นางอยู่ในห้องกับบุรุษผู้หนึ่งตามลำพังจะหลับลงได้อย่างไร นางได้แต่ลุกขึ้นเดินคลำทางไปตรงริมหน้าต่างช่องลมใหญ่เท่าฝ่ามือ ยืนเงียบๆ เงี่ยหูฟังเสียงคลื่นทะเลรอบกาย
หากยามนี้มีคนมองไปจะเห็นเงาร่างอรชรของสตรีอ่อนเยาว์ สายลมเย็นเฉียบพัดปอยผมข้างจอนของนางปลิวคลอเคลียพวงแก้มนวลเนียน
นางไม่ล่วงรู้ว่าคนผู้นี้มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ เขาออกจากที่ซ่อนอีกครั้งอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วมายืนอยู่ข้างโต๊ะเล็กที่นางใช้คัดอักษร
กระดาษแผ่นบนสุดคัดลอกบทกลอนของเกาจู้ที่ว่า
‘ยามอยู่มีสุราจงดื่มให้สาแก่ใจ ยามลาสู่ปรโลกฤๅได้ร่ำสักหยด…’
เขาเลิกคิ้วขึ้น หรือว่าแม่นางผู้นี้เห็นว่าตนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ยังมิได้ลิ้มลองสัมผัสสิ่งดีงามทั่วหล้า จึงบังเกิดความเสียดายในใจ?
เวลานี้เองซูลั่วอวิ๋นซึ่งเงี่ยหูฟังเสียงอยู่ริมหน้าต่างจู่ๆ ก็เพ่งสมาธิจดจ่อพลางเอ่ยปากกล่าว “ฟังเสียงน้ำ…ดูเหมือนมีเรือแล่นเข้ามาใกล้ ท่านผู้กล้าลองดูว่าเป็นคนที่มารับท่านใช่หรือไม่”
ไม่มีเสียงตอบ แต่ไม่นานนักนางได้ยินคล้ายมีอะไรบางอย่างตกลงไปในน้ำ น่าจะเป็นเขากระโดดลงไปแล้วว่ายน้ำไปหาเรือที่มารับกระมัง
ซูลั่วอวิ๋นไม่มั่นใจ จึงลองส่งเสียงถามอีกครา ทว่าไม่มีคนกล่าวตอบดังเดิม
จวบจนนางเดินไปรอบๆ จนทั่วเรือก็ไม่ได้กลิ่นคาวเลือดอีก ถึงได้มั่นใจว่าบุรุษที่เป็นดั่งภูตผีวิญญาณผู้นั้นลงจากเรือไปแล้ว
ซูลั่วอวิ๋นยังคงไม่วางใจ นางเรียกเซียงเฉ่ามาสอบถามว่าเมื่อครู่มีเรือเข้ามาใกล้หรือไม่ เซียงเฉ่าตอบว่ามีเรือแล่นตามเรือของพวกนางจริงๆ แต่จากไปแล้ว
นางถึงวางใจลงได้อย่างแท้จริง คนผู้นี้กับผู้ใต้บังคับบัญชาส่งข่าวถึงกันได้อย่างไรเป็นปริศนาที่ไร้คำตอบ ทว่าเรื่องนี้นางจะบอกกล่าวคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องดี เขาน่าจะคิดว่านางหวงแหนชื่อเสียงตามประสาสตรีจึงไม่ได้สังหารนางปิดปากกระมัง
แต่เมื่อคิดว่าตนเองต้องพบอันตรายเช่นนี้เพราะบิดารีบร้อนลงเรือทอดทิ้งนางไว้อย่างไม่ดูดำดูดี ลึกเข้าไปในดวงตาที่ไร้แววของซูลั่วอวิ๋นคล้ายฉาบไว้ด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่หวังว่าบิดาจะให้ความรักความเอ็นดูตนสักเท่าไร ทว่าซูหงเหมิงมักกระทำเหนือความคาดหมายของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ฉีกหน้านางหลายครา ดึงขีดความอดทนของนางให้ต่ำลงไม่หยุด
สายน้ำในเวลานี้ไหลเชี่ยวเช่นเดียวกับจิตใจของนางที่ยากจะควบคุมให้สงบลงได้…