อีกด้านหนึ่งเรือที่ตามหลังเรือสกุลซูลำนั้นแล่นจากไปแล้วจริงๆ
ยามนี้เรือลำนั้นเข้าสู่ทะเลสาบป๋อเยียนในอำเภอไหวซีใกล้กับเมืองหลวง
ภายในห้องโดยสารชายฉกรรจ์ร่างกำยำล่ำสันไว้หนวดสั้นกำลังยืนประสานมืออยู่ข้างม่านกั้น ขณะที่บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกำลังผลัดอาภรณ์อยู่หลังม่าน
ชายหนวดสั้นผู้นั้นมีนามว่าชิ่งหยาง ท่าทางราวกับมีคำพูดสุมแน่นเต็มอก เขาข่มใจอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว
“นายน้อยขอรับ วันนี้ท่านทำอะไรหุนหันพลันแล่นจริงๆ แม้ว่าท่านจะชื่นชมโจรกบฏเฉาเซิ่งผู้นั้น ทั้งยังมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกันอย่างแน่นแฟ้น แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่เขากระทำอยู่คือต่อต้านราชสำนัก หากท่านพัวพันกับเขามากเกินไป เกรงว่า…”
ครั้งนี้นายน้อยออกจากเมืองหลวงมาท่องเที่ยวที่อำเภอไหวซีพร้อมกับเหล่าเชื้อพระวงศ์และผู้สูงศักดิ์หลายคน แต่ใครจะรู้ว่าพอนายน้อยบังเอิญเห็นสหายเก่าเฉาเซิ่งถูกคุมตัวอยู่ในรถคุมนักโทษก็ถึงกับวางแผนส่งคนไปส่งเสียงตะวันออกโจมตีตะวันตก ส่วนตนเองเสี่ยงอันตรายลักลอบเข้าไปช่วยเฉาเซิ่งออกมาในยามวิกาล
แม้ว่านายน้อยทำเช่นนี้จะเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำมิตร แต่ก็อันตรายเกินไปแล้ว! พอคิดว่าอีกฝ่ายพลัดจากกลุ่มไปคนเดียวในช่วงคับขันชุลมุน ชิ่งหยางก็ยังหวาดผวาไม่หาย
บุรุษผู้นั้นพันแผลตรงหัวไหล่อยู่ เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ภารกิจครานี้มีคนจะแพร่งพรายความลับออกไป เคราะห์ดีที่พวกเจ้าเร่งรุดมาทันท่วงที สังหารสายลับที่คิดจะไปแจ้งข่าวที่เมืองหลวง…”
ชิ่งหยางพูดอย่างวิตกกังวล “นายน้อย หากเป็นเช่นนี้ท่านจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วงหรือขอรับ ไยไม่ฉวยโอกาสนี้รีบไปจากเมืองหลวงแคว้นต้าเว่ย จะได้ไม่ต้องถูกใครบังคับ…”
บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นหันกายมาเล็กน้อย รูปโฉมของเขาคมเข้ม เพราะมีมารดาเป็นชนต่างเผ่า จึงคล้ายมีส่วนผสมของสายเลือดชนต่างเผ่าอยู่เล็กน้อย แสงไฟทอดเงามืดทาบทับใบหน้าด้านข้างของเขารำไร เห็นเส้นสายเค้าโครงงดงามสมส่วนราวกับแกะสลัก จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสีดำใต้คิ้วดกหนาคมกริบดุจตาเหยี่ยว เรือนผมยาวเปียกหมาดๆ แนบติดใบหน้า ดูแฝงไว้ด้วยความดิบเถื่อนของชนเผ่าแดนไกล ขณะที่เรียวปากบางมีรอยยิ้มจางๆ อย่างเยาะหยันผุดขึ้นมา
“ท่านพ่อส่งข้ามายังเมืองหลวงเพื่อเป็นตัวประกัน หากข้าจากไป เหลียงโจวจะตกอยู่ท่ามกลางไฟสงคราม…จากไปหรือ ใต้หล้ากว้างใหญ่เพียงนี้ ข้าควรไปที่ใดเล่า” หานหลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ในการสู้รบกับชนเผ่าทางแดนเหนือเมื่อสามสิบปีก่อนอดีตฮ่องเต้เว่ยจงเป็นผู้นำทัพเข้าสู่สมรภูมิหมายสำแดงความเก่งกล้าสร้างผลงานยิ่งใหญ่ แต่กลับถูกปิดล้อมบนเขาชิวไถนานถึงยี่สิบวันจนมีการบันทึกลงในพงศาวดารกลายเป็นความอัปยศของแว่นแคว้น
ตอนที่ถูกปิดล้อมไว้อดีตฮ่องเต้เว่ยจงถูกบังคับให้เขียนพระราชโองการสละบัลลังก์เพื่อแลกกับการส่งกองทัพหนุนมาช่วยเหลือ
เมื่ออดีตฮ่องเต้เว่ยจงกลับมาอย่างสิ้นท่าก็ถูกหานซวี่เสด็จอาของเขาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจใหม่ของแคว้นต้าเว่ยเข้าแทนที่เสียแล้ว หลังหานซวี่ขึ้นครองราชย์ก็มีพระนามว่าฮ่องเต้เว่ยเซวียน ยอมสละแดนเหนือยี่สิบเมืองถึงยุติสงครามได้ทันการณ์
นับแต่นั้นมาสายตระกูลของหานซวี่ก็กลายเป็นผู้ครองราชสมบัติตามกฎมณเฑียรบาล
แม้ว่าฮ่องเต้เว่ยเซวียนจะฉวยโอกาสที่แผ่นดินกำลังวุ่นวายยึดอำนาจ แต่เพราะมีพระราชโองการสละบัลลังก์ของอดีตฮ่องเต้เว่ยจงผู้เป็นหลานชาย จึงได้ครองตำแหน่งอย่างถูกต้องชอบธรรม เขามอบพระนามให้อดีตฮ่องเต้เว่ยจงที่กลับมาอย่างไร้ศักดิ์ศรีว่าเซิ่งเต๋อไท่หวงโดยไม่รอช้า
หลังจากนั้นฮ่องเต้องค์ใหม่ยังเนรเทศรัชทายาทซึ่งเดิมทีควรได้สืบทอดบัลลังก์ไปอยู่อย่างสันโดษในถิ่นทุรกันดารเช่นเหลียงโจว มีตำแหน่งที่ไร้อำนาจเป็นเป่ยเจิ้นอ๋อง
เมื่อเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าหลานชายยินดีสละราชสมบัติให้ผู้เป็นอา ทุกคนสามัคคีปรองดองกัน สิ่งที่บันทึกลงในพงศาวดารล้วนน่าชื่นชม
เพียงแต่เหลียงโจวรายรอบด้วยภูเขาสูงชันและมีเมืองสำคัญทางทหารล้อมไว้ทั้งสี่ทิศ ตกอยู่ในสภาพประหนึ่งตะพาบในไหอีกทั้งอดีตฮ่องเต้เว่ยจงถูกบีบให้ลงจากตำแหน่ง ในอกสุมแน่นไปด้วยความขุ่นข้องโกรธเคือง หลังสละราชสมบัติปีที่สองก็ประชวรหนักแล้วสวรรคตในเมืองหลวง ไม่มีบุตรชายบุตรสาวอยู่ดูใจในวาระสุดท้ายก่อนสิ้นลม
ด้วยเหตุนี้พอมาถึงรุ่นของหานอี้บิดาของหานหลินเฟิง เหล่าบุตรหลานของอดีตฮ่องเต้เว่ยจงอยู่ในอาณาเขตเหลียงโจวโดยไม่ได้รับการอบรมบ่มเพาะ ส่วนใหญ่มักเสียคนมีนิสัยเสเพลไม่เอาการเอางาน
ตามธรรมเนียมอ๋ององค์ใหม่ทุกรุ่นทางเหลียงโจวต้องส่งบุตรชายที่จะสืบทอดตำแหน่งอ๋องในอนาคตเข้าเมืองหลวง โดยมีเหตุผลน่าฟังว่าเพื่อฝึกฝนร่ำเรียนวิชาความรู้และสัมผัสวิถีชีวิตของชาวเมืองหลวง แต่แท้จริงแล้วคือการควบคุมไว้เป็นตัวประกัน คอยเฝ้าดูพฤติกรรม ทันทีที่เหลียงโจวมีความเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิด บุตรชายผู้นี้ก็จะถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย