สองปีที่แล้วหานอี้ส่งตัวหานหลินเฟิงบุตรชายคนโตของตนเข้าเมืองหลวงเพื่อเริ่มต้นการแสวงหาความรู้เป็นเวลาห้าปี
เพราะว่าหานหลินเฟิงอยู่ในสภาพเช่นนี้นี่เอง ชิ่งหยางซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ประจำตัวถึงใจหายใจคว่ำกับความกล้าบ้าบิ่นของนายน้อย
เคราะห์ดีที่ได้ลงเรือของสกุลซูถึงรอดพ้นอันตรายมาได้ แต่ว่านายน้อยต้องเร่งรีบกลับไปหาพวกพ้องที่มาจากเมืองหลวงด้วยกันและกลบเกลื่อนร่องรอยที่ทิ้งไว้ให้หมดจดถึงจะเรียบร้อย
ชิ่งหยางถามขึ้นอีกอย่างไม่ค่อยวางใจ “ไว้ชีวิตคนบนเรือลำนั้นจะเป็นเภทภัยในวันหน้าหรือไม่ขอรับ”
เขาหมายถึงเรือของสกุลซู หากให้ใครรู้ว่านายน้อยช่วยเหลือโจรกบฏเฉาเซิ่งจะส่งผลเป็นวงกว้างเกินไป อีกทั้งคนในจวนอ๋องที่เหลียงโจวทั้งหมดจะตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม จึงต้องจัดการด้วยวิธีเฉียบขาดและฉับไวอย่างช่วยไม่ได้
ครั้นนายน้อยซึ่งเป็นคนเด็ดขาดเอาจริงเอาจังเสมอของเขาได้ยินก็ชะงักไปเล็กน้อยถึงเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไร นางไม่ล่วงรู้ว่าข้าเป็นใคร”
เมื่อเห็นนายน้อยกล่าวเช่นนี้ ชิ่งหยางก็มิได้ยืนกรานต่อ เพียงรับใช้อยู่ด้านข้างคอยหยิบอาภรณ์ส่งให้
เสื้อคลุมยาวหรูหราตัวนี้ปักลายดอกโบตั๋นจนทั่วดูประณีตวิจิตรสะดุดตา ปกคลุมเรือนกายแข็งแรงกำยำของหานหลินเฟิงไว้อย่างเหมาะเจาะ เส้นผมยาวดำสนิทซึ่งถักเป็นเปียเส้นเล็กๆ ซ้อนทับกันรวบขึ้นแล้วสวมเกี้ยวครอบผมทองคำ ดวงหน้าหล่อเหลาผัดแป้งเนื้อเนียนที่ไม่เข้ากับตัวไว้ชั้นหนึ่ง ริมฝีปากยังแต้มด้วยชาดแดง
เขามีเค้าโครงใบหน้าคมสันหล่อเหลาอยู่แต่เดิม ทว่าหลังจากอำพรางลักษณะของบุรุษอกสามศอกไว้จนมิดชิดก็แลดูงดงามละมุนละไมเช่นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์
นี่คือรูปลักษณ์ที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหมู่คุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวงตอนนี้ ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองสงบสุขบรรดาคุณชายวัยหนุ่มที่ไม่รู้ถึงรสชาติของความทุกข์ยากทั้งหลายก็ประทินโฉมราวกับสตรีเช่นนี้
หานหลินเฟิงไม่แสดงสีหน้าใดๆ เพียงมองดูเงาสะท้อนใบหน้าขาวซีดแฝงความอ่อนเพลียของคุณชายเสเพลในคันฉ่อง จู่ๆ ก็เหยียดมุมปากออกเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน…ชั่วขณะนี้ความงดงามละมุนละไมอันตรธานหายไปราวกับว่ามีสัตว์ร้ายกระหายเลือดหลับใหลอยู่ภายใน เตรียมพร้อมรอเวลาพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า…
น่าเสียดายที่รอยยิ้มนี้ปรากฏเพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เห็นวี่แวว
หลังจากแต่งกายเสร็จหานหลินเฟิงใช้ทางเดินเชื่อมระหว่างสะพานลอบลงเรือสำราญลำใหญ่ที่จอดอยู่ในทะเลสาบอีกลำหนึ่งเงียบๆ มุมปากประดับรอยยิ้มที่ดูเสเพลไม่จริงจัง เขาแกว่งจอกสุราในมือไปมาพลางเขี่ยพวงแก้มนุ่มของหญิงงามที่โผมาซบอกด้วยท่วงท่าสง่างาม ทำตัวกลมกลืนไปกับบรรยากาศรื่นเริงด้วยเสียงร้องรำทำเพลงบนเรือ
ยามนี้เหล่าผู้สูงศักดิ์ที่ร่ำสุรามาตลอดทั้งราตรีต่างเมามายกันแล้ว ถึงขั้นมีคนกระโดดลงทะเลสาบเล่นน้ำกับหญิงงาม
ไม่มีใครสังเกตว่าหานซื่อจื่อ ลอบออกไปทั้งคืน นึกแต่เพียงว่าเขาไปหาความสำราญกับนางขับร้องที่ถูกตาต้องใจบนเรือด้านข้าง
ถึงอย่างไรหานซื่อจื่อก็เป็นบุรุษเจ้าสำราญ…ในหมู่ผู้รักสนุกในเมืองหลวง ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อเป็นคนไร้ค่าที่กินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ ไม่มีความรู้ความสามารถผู้หนึ่ง
ท่ามกลางเสียงชนจอกสุราสรวลเสเฮฮา หานหลินเฟิงหันหน้ามองไปทางผิวทะเลสาบที่ปกคลุมด้วยม่านหมอกยามรุ่งสาง สิ่งที่ผุดขึ้นในห้วงความคิดมิใช่ทั้งเสียงดนตรีอ่อนหวานยวนใจหรือประกายดาบเงากระบี่ยามตกอยู่ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ แต่เป็นภาพสตรีโฉมงามบอบบางดุจรูปปั้นหยกที่นั่งอยู่เพียงลำพังตรงข้างโต๊ะ ตวัดพู่กันไม้ไผ่ในมือขาวเกลี้ยงคัดอักษรอย่างสงบเยือกเย็น
บาดแผลที่หัวไหล่ยังคงเจ็บแปลบ ทว่าเขาดื่มสุราหมดจอกโดยปราศจากความลังเล เอื้อนเอ่ยบทกลอนที่แม่นางผู้นั้นคัดลอกด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา…
“ยามอยู่มีสุราจงดื่มให้สาแก่ใจ ยามลาสู่ปรโลกฤๅได้ร่ำสักหยด…”
ภาพความสงบเยือกเย็นเป็นสุขถึงขั้นเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาของโลกในหัวสมองภาพนั้นไม่เข้ากับเขาแม้แต่น้อยนิด พอกลืนสุราชั้นเลิศรสเข้มแรงในจอกลงไป หานหลินเฟิงก็สลัดเงาร่างอ้อนแอ้นออกไปจากความคิด
ขณะที่เรือสำราญทางนี้กำลังชนจอกดื่มสุราร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง อีกด้านหนึ่งเรือของสกุลซูทั้งสองลำก็แล่นมาถึงท่าเรือเมืองหลวงไม่พร้อมกัน ซูหงเหมิงนึกถึงซูลั่วอวิ๋นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้ในที่สุด เขาจึงหยุดรอนางอยู่ครู่หนึ่ง
ซูกุยเยี่ยนเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา หากรู้แต่แรกว่าบิดาจะสั่งให้ออกเรือก่อนโดยไม่รอพี่สาว เขาไม่มีทางลงเรือเด็ดขาด
พอเห็นซูลั่วอวิ๋นก้าวขึ้นฝั่ง ซูกุยเยี่ยนก็รีบวิ่งไปหา ตั้งใจจะประคองพี่สาวขึ้นรถม้า แต่พอแตะมือของนางเขาก็ร้องอุทานขึ้นมาทันที
“เหตุใดมือถึงเย็นเพียงนี้ขอรับ เซียงเฉ่า เจ้าไม่ได้เตรียมเตาพกให้พี่ลั่วอวิ๋นหรือ”
เซียงเฉ่าพูดอย่างละอายใจ “ข้าวของในเรือนเราล้วนยกไปไว้ในเรือลำแรกล่วงหน้าเจ้าค่ะ ในรถม้ามีแค่หีบใส่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับเตาพกให้คุณหนูใหญ่ถืออุ่นมืออีกใบ แต่เรือแล่นถึงกลางทางถ่านไฟก็มอดแล้ว เหลือแต่เตาหุงข้าวต้มน้ำ เรือลำนั้นยังเป็นเรือขนของ มีรูโหว่ ลมจึงพัดเข้ามาได้…”