บทที่ 7
ซูกุยเยี่ยนฟังถึงตรงนี้ก็รีบกุมมือพี่สาวไว้แล้วเป่าลมออกจากปากถ่ายทอดไออุ่นให้นาง เขายังมองบิดาด้วยสายตาขุ่นเคืองคับแค้นอย่างห้ามไม่อยู่
เวลานี้ซูหงเหมิงสงบอกสงบใจลงได้แล้วก็รู้สึกผิดต่อบุตรสาวคนโตอยู่บ้างเช่นกัน แต่ด้วยศักดิ์ศรีของผู้เป็นบิดาค้ำคอทำให้เขายอมอ่อนข้อให้ไม่ได้ เพียงกระแอมกระไอก่อนเอ่ยขึ้น
“พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสถานการณ์จะฉุกละหุกถึงเพียงนี้ มีไส้ศึกจากกองทัพกบฏบุกเข้าคุกในอิ้นโจวช่วยโจรกบฏออกไป นี่เป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวงทางการทหาร แม่น้ำทั้งสายจะถูกปิดล้อมในชั่วเวลาสั้นๆ หากข้าไม่คิดหาวิธีออกเรือโดยเร็ว เช่นนั้นก็ต้องเสียเวลาอยู่ที่บ้านเดิม ตามกฎหมายของแคว้นต้าเว่ยถ้าขุนนางไม่ไปรายงานตัวตามเวลาจะเท่ากับว่าสละตำแหน่ง…สารถีคนนั้นก็เกียจคร้าน เหตุใดถึงไม่ตรวจตรารถม้าให้เรียบร้อยก่อนล่วงหน้า ถึงเป็นเหตุให้ลั่วอวิ๋นลงเรือไม่ทัน”
พอซูหงเหมิงโยนความผิดไปให้สารถีแล้ว ในใจก็รู้สึกเบาสบายโดยพลัน…ถ้ามิใช่เพราะรถม้าของบุตรสาวขัดข้อง เขาไม่มีทางทอดทิ้งนาง
ซูลั่วอวิ๋นได้ฟังคำกล่าวของบิดาถึงได้เข้าใจว่าที่แท้คนที่อยู่บนเรือผู้นั้นเป็นพรรคพวกของกบฏ…
ในเมื่อเรื่องนี้พัวพันถึงวงกว้าง นางยิ่งไม่อยากถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง ย่อมไม่เอ่ยถึงกับคนรอบข้างแม้แต่คำเดียว ถือว่าเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอบนเรือเป็นเพียงฝันร้าย รีบลืมไปเสียย่อมเป็นการดี
หลังจากขึ้นรถลงเรือเดินทางตรากตรำ ในที่สุดซูลั่วอวิ๋นก็กลับถึงจวนสกุลซูที่จากไปเนิ่นนาน
เมื่อก่อนนางมีสหายรักตั้งแต่วัยเยาว์ในเมืองหลวงอยู่บ้าง ในวันที่สองที่คุณหนูใหญ่สกุลซูกลับมา สวีเฉี่ยวจือคุณหนูของสกุลสวีที่สนิทสนมกันก็ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนนางโดยเฉพาะ
คนที่มาพร้อมกับสวีเฉี่ยวจือยังมีลู่หลิงซิ่วคุณหนูของสกุลลู่
ครอบครัวของพวกนางล้วนค้าขาย มีฐานะทัดเทียมกัน แต่แน่นอนว่าจวนสกุลลู่เหนือกว่าอีกสองจวน เพราะมีบุตรหลานในตระกูลได้เป็นขุนนางแล้วสองคน มิหนำซ้ำยังเข้านอกออกในตามจวนผู้มีอำนาจสูงศักดิ์บ่อยครั้ง มีเส้นสายกว้างขวางอย่างมาก
กระนั้นพวกนางสามคนก็คบหากันอย่างถูกคอมาโดยตลอด ถึงขั้นร่วมกันก่อตั้งชุมนุมกวีขึ้นและไปมาหาสู่กันเป็นประจำ
ทว่าหลังจากดวงตามองไม่เห็น ซูลั่วอวิ๋นก็ไม่อยากพบใคร จึงไม่ได้พบหน้าสหายทั้งสองคนมานานแล้ว
ตอนที่สาวใช้นำทางคุณหนูทั้งสองมาถึงสวนบุปผา ซูลั่วอวิ๋นได้สั่งให้คนจัดโต๊ะน้ำชาไว้รอท่าแล้ว ทั้งยังชงชาให้สหายด้วยตนเอง
สวีเฉี่ยวจือประหลาดใจเมื่อพบว่าแม้ซูลั่วอวิ๋นจะมองไปข้างหน้าด้วยดวงตาที่เลื่อนลอย แต่กลับใช้น้ำร้อนลวกเครื่องมือชงชาและใบชาได้โดยไร้อุปสรรค ทั้งยังสง่างามไปทุกอิริยาบถมากกว่าก่อนตาบอดเสียอีก
ลู่หลิงซิ่วก็กล่าวอย่างแปลกใจ “ลั่วอวิ๋น ดวงตาของเจ้ากลับมามองเห็นแล้วหรือ”
ซูลั่วอวิ๋นยิ้มน้อยๆ “ตอนอยู่บ้านเดิมข้าไม่ได้พบปะสังสรรค์กับใครมากนัก เวลาอยู่ว่างๆ จะศึกษาแต่ศาสตร์ชงชา ส่วนถ้วยชาพวกนี้ล้วนตั้งอยู่ในตำแหน่งประจำ ฝึกฝนหลายๆ ครั้งก็จดจำได้แล้ว เป็นอย่างไร ไม่มีอะไรผิดพลาดกระมัง”
อันที่จริงลู่หลิงซิ่วมาครั้งนี้พร้อมความรู้สึกละอายแก่ใจ ถึงอย่างไรพี่ชายของนางกับซูลั่วอวิ๋นต่างฝ่ายต่างก็ชอบพอกันมานานแล้ว แต่ตอนนี้พี่ชายกลับจะแต่งงานกับน้องสาวของซูลั่วอวิ๋น ทำให้นางทอดถอนใจนักว่าชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนโดยแท้
นางเตรียมตัวเตรียมใจถูกสหายรักพูดจาเหน็บแนมเสียดสี เพราะได้ยินซูไฉ่เจียนเคยบอกว่าหลังจากซูลั่วอวิ๋นตาบอดก็กลายเป็นคนโมโหร้าย พออ้าปากก็ด่าทอคน
แต่ขณะนี้ดูไปแล้วเด็กสาวผู้ร่าเริงเปิดเผยในวันวานคนนั้นดูมีความสุขุมหนักแน่นและสง่างามเกินวัยมากขึ้น ใบหน้านั้น…ก็ยิ่งงามพริ้มเพราจับตา หากพี่ชายเห็นซูลั่วอวิ๋นที่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องกลับมาคะนึงหาอีกฝ่ายและทนทุกข์ทรมานอีกเป็นแน่…
นอกจากนี้ยังตรงข้ามกับที่ลู่หลิงซิ่วนึกภาพไว้ ซูลั่วอวิ๋นดูเหมือนไม่มีความคิดจะตัดมิตร เพียงทำหน้าที่เจ้าของเรือนต้อนรับแขก พอชงชาเสร็จยังจับมือพวกนางสองคนพลางบอกเล่าสิ่งที่พบเห็นที่บ้านเดิม ทำให้บรรยากาศดูกลมเกลียวปรองดองอย่างยิ่ง