ลู่หลิงซิ่วหาโอกาสตอนที่ได้อยู่กันตามลำพังหมายจะถ่ายทอดคำพูดของพี่ชาย อธิบายว่าเขาไม่อาจทำตามใจตนเองได้ แต่นางยังพูดไม่จบ ซูลั่วอวิ๋นก็เอ่ยปากตัดบท
“ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นเรื่องสมัยวัยเยาว์แล้ว อย่าเก็บไปใส่ใจอีกเลย…มา ลองดมกลิ่นเครื่องหอมใหม่ที่ข้าปรุงขึ้น ดูว่าถูกใจหรือไม่”
หูซื่อมารดาของซูลั่วอวิ๋นเป็นยอดฝีมือปรุงเครื่องหอมผู้หนึ่ง เมื่อครั้งที่การค้าของสกุลซูจวนเจียนจะล่มจมล้วนอาศัยตำรับเครื่องหอมของหูซื่อถึงพลิกฟื้นขึ้นมาได้
ในอดีตซูลั่วอวิ๋นไม่ชอบปรุงเครื่องหอมอย่างมาก เพราะนางเห็นว่าการที่มารดาช่วยแบ่งเบาภาระให้บิดาถึงทำให้บิดามีเวลาว่างไปเกี้ยวสตรีอย่างสบายอกสบายใจจนมารดาต้องโศกเศร้าตรอมใจ
ทว่านางได้เห็นมารดาปรุงเครื่องหอมมาตั้งแต่เด็กจนติดหูติดตา ต่อให้ไม่ชอบก็จับเคล็ดได้หลายส่วน หลังจากตาบอดต้องอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีวันจางหายไป จมูกที่สามารถรับกลิ่นหอมรวยรินจึงกลายเป็นหนทางในการรับรู้ความงดงามของโลกใบนี้แม้ว่าจะมีข้อจำกัดก็ตาม
บัดนี้เรื่องฝีมือและการเข้าถึงแก่นแท้ของศาสตร์ปรุงเครื่องหอมนั้นนางมีทีท่าว่าจะล้ำหน้ามารดาแล้ว
ลู่หลิงซิ่วถูกซูลั่วอวิ๋นตัดบทก็พูดไม่ถนัด จึงได้แต่ใช้ปลายนิ้วหยิบเครื่องหอมมาดมดู
พอลู่หลิงซิ่วได้ดมกลิ่น คิ้วที่ย่นเข้าหากันก็คลายออกทันใด “กลิ่นนี้คล้ายกลิ่นผลตั้นหลี* แต่เจือความหอมหวานเช่นเดียวกับผลท้อไว้หลายส่วน หอมเหลือเกิน…นี่เป็นเครื่องหอมที่เพิ่งออกใหม่ของร้านโส่วเว่ยของพวกเจ้าหรือ ชื่อว่าอะไร พอกลับไปข้าจะสั่งให้สาวใช้ไปซื้อกลับมามากๆ”
ซูลั่วอวิ๋นอมยิ้ม “ข้าปรุงขึ้นฆ่าเวลาเท่านั้น ตั้งชื่อให้ชั่วคราวว่ากลิ่นตั้นหลี ข้าผสมกลิ่นนี้ลงในขี้ผึ้งหอมทาผิว ประเดี๋ยวจะมอบให้เจ้ากับเฉี่ยวจือคนละหนึ่งตลับ”
ลู่หลิงซิ่วแย้มยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ นางมองซูลั่วอวิ๋นซ้ำอีกคราแล้วทอดถอนใจน้อยๆ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น อีกฝ่ายยังเป็นปกติดีและกลายเป็นพี่สะใภ้ของนางจะดีสักปานใด
ขณะที่คิดคำนึงอยู่เช่นนี้ คุณหนูรองสกุลซูก็มาเป็นแขกโดยไม่ได้รับเชิญ
เพราะพี่สาวมองไม่เห็น ซูไฉ่เจียนก็คร้านที่จะคารวะทักทาย นางตรงเข้าไปพูดกับลู่หลิงซิ่วยิ้มๆ “หลิงซิ่ว มาถึงแล้วก็ไม่มาหาข้า เจ้ากลับมาที่เรือนของพี่ลั่วอวิ๋นก่อน ไม่กลัวข้าจะต่อว่าเจ้าหรือ”
ลู่หลิงซิ่วเห็นว่าที่พี่สะใภ้กล่าวเช่นนี้ก็รีบเอ่ยตอบ “เราสองคนพบกันอยู่บ่อยครั้ง ข้าคิดว่าพบเจ้าน้อยลงครั้งหนึ่งเจ้าคงไม่ต่อว่าข้า อย่างมากงานเลี้ยงน้ำชาคราวหน้าข้าก็ออกเงินเป็นเจ้าภาพแล้วกัน”
จริงๆ แล้วซูไฉ่เจียนกังวลมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางรู้สึกว่าน้องสาวของว่าที่สามีตนชอบพี่สาวคนโตมากกว่า แต่จะแสดงออกมาอย่างชัดเจนเกินไปก็ไม่ดี นางจึงเอ่ยทีเล่นทีจริง
“เจ้ากับพี่ลั่วอวิ๋นสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร โทษมิได้ที่พอนางกลับมาเจ้าก็คิดถึงแต่นาง ไม่รู้ว่าพี่ชายเจ้าจะเป็นเหมือน…”
ซูลั่วอวิ๋นไม่รอให้น้องสาวกล่าววาจาที่จะสร้างความกระอักกระอ่วนให้ทุกคน นางพลันเปลี่ยนเรื่องพูด “ได้ยินว่าองค์หญิงอวี๋หยางจะจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิด ไม่รู้ว่าสกุลลู่ยังรับหน้าที่จัดเตรียมฉลองพระองค์ขององค์หญิงเหมือนปีที่ผ่านมาหรือไม่”
ในอดีตสกุลลู่เป็นตระกูลพ่อค้าเช่นเดียวกับสกุลซู ผ้าปักของโรงปักผ้าสกุลลู่มีลวดลายสีสันงดงาม ฝีมือประณีตบรรจง หลังจากสกุลลู่สร้างฐานะได้จากโรงปักผ้า นายท่านสกุลลู่ก็กลายเป็นขุนนางในกองการค้าหลวง ช่วยกองการค้าหลวงคัดสรรแพรพรรณและผ้าปัก นับเป็นผู้เชี่ยวชาญมือหนึ่งด้านกิจการโรงปักผ้า ซูหงเหมิงก็อาศัยเส้นสายของนายท่านสกุลลู่จึงไปได้ถึงฝั่งฝัน
หากบรรดาผู้สูงศักดิ์ในวังหลวงเบื่อหน่ายรูปแบบลวดลายเสื้อผ้าของกองงานฝ่ายใน ส่วนใหญ่ก็จะไปสั่งทำพิเศษที่โรงปักผ้าสกุลลู่
ฮูหยินกับคุณหนูลู่อาศัยฝีมืออันยอดเยี่ยมในการวาดแบบบนกระดาษจนกลายเป็นแขกประจำของจวนผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย องค์หญิงอวี๋หยางที่ชื่นชอบเครื่องแต่งกายงดงามก็มักเรียกสองแม่ลูกมาพบเพื่อสั่งตัดเย็บอาภรณ์พิเศษอยู่บ่อยครั้ง