ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 5-7
เมื่อได้ยินซูลั่วอวิ๋นไต่ถาม ลู่หลิงซิ่วก็กล่าวยิ้มๆ “เจ้าเดาไม่ผิด โรงปักผ้าของตระกูลข้าเป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงเสมอมา ครั้งนี้พระองค์ทรงเลือกของตระกูลข้าเช่นกัน”
ซูลั่วอวิ๋นทาขี้ผึ้งหอมที่ตนปรุงขึ้นบริเวณข้อมือของลู่หลิงซิ่วให้ลองดมกลิ่นพลางเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นจะไม่เหมือนกับที่ผ่านมาหรือ เจ้าคงได้ติดตามมารดาไปที่จวนราชบุตรเขยเพื่อวัดพระวรกายให้องค์หญิงด้วยกันใช่หรือไม่”
ลู่หลิงซิ่วยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าช่างเดาเก่งเสียจริง ข้ากับท่านแม่รอองค์หญิงบรรทมกลางวันแล้วจะไปเข้าเฝ้ายามบ่าย ครานี้องค์หญิงทรงสั่งปักลายมากมาย ท่านแม่ไม่วางใจพวกหญิงปักผ้า อยากไปจดบันทึกจุดสำคัญด้วยตนเองเพื่อป้องกันความผิดพลาด ส่วนข้าวาดแบบอาภรณ์ได้ดีจึงจะไปพร้อมกับท่านแม่ แล้วก็จะไปเข้าเฝ้าถวายพระพรองค์หญิงด้วย”
ในเมื่อลู่หลิงซิ่วยังมีงานสำคัญต้องทำ ทุกคนดื่มชาสองสามถ้วยแล้วจึงแยกย้ายกัน
ซูลั่วอวิ๋นกลับถึงเรือนก็ผลัดชุดสำหรับออกไปข้างนอก เตรียมตัวไปจุดพักม้าเพื่อพบท่านน้าที่มาถึงเมืองหลวง
เมื่อครั้งที่หูเสวี่ยซงทะเลาะกับพี่เขยซูหงเหมิงเพราะพี่สาวเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เขาได้พังประตูใหญ่จวนสกุลซูเป็นชิ้นๆ และตัดญาติขาดมิตรกัน
ซูลั่วอวิ๋นไม่อยากให้ท่านน้าต้องลำบากใจ ดังนั้นจึงส่งจดหมายนัดพบเขาที่จุดพักม้า
จุดพักม้าแห่งนั้นเป็นสถานที่ที่ขุนนางซึ่งเข้าเมืองหลวงมารายงานตัวเข้าพักแรมกันบ่อยครั้ง บริเวณโดยรอบมีโรงน้ำชากับหอสุราชั้นดีตั้งเรียงรายเป็นแถว มิหนำซ้ำยังมีร้านที่อยู่ลึกเข้าไปในตรอกมากมายแขวนโคมแดงเอาไว้ มีสตรีแต่งกายอวดเนื้อหนังมังสายืนอยู่ประจำตามตรอก
ด้วยเหตุนั้นละแวกนี้จึงพลุกพล่านขวักไขว่ ทั้งยังคึกคักจอแจเป็นพิเศษ
ซูลั่วอวิ๋นอยู่อย่างเงียบเหงาในชนบทมานานสองปี ไม่ค่อยคุ้นชินกับความรุ่งเรืองเฟื่องฟูเช่นนี้ กระนั้นเมื่อได้ยินเสียงดังอึกทึกเหล่านี้ในความมืดมิดก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองยังมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้
ในตอนนี้พลันมีเสียงหัวเราะครืนใหญ่ดังขึ้นที่ข้างรถม้า
เซียงเฉ่ายื่นหน้าออกไปดูก็รีบหันมาบอกกล่าว “เป็นพวกบุรุษเมามายไร้ศีลธรรมกลุ่มหนึ่งเจ้าค่ะ คงจะแพ้เดิมพันสุราจึงส่งคนผู้หนึ่งออกมาดีดพิณแลกเงินข้างถนน ถึงดึงความสนใจของผู้คนให้มามุงดูกัน”
เพราะมีคนมุงดูเนืองแน่นจนขวางทางบนถนน รถม้าของสกุลซูจำต้องรอให้ฝูงชนแยกย้ายกันก่อนถึงจะเคลื่อนไปข้างหน้าต่อได้
ท่ามกลางเสียงเอะอะอื้ออึง เสียงพิณเสนาะหูลอยแว่วมากระทบโสตประสาท
คนดีดพิณกำลังบรรเลงเพลง ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ ของซือหม่าเซียงหรู ท่วงทำนองสูงต่ำสอดประสานกลมกลืน ทว่าเสียงเพลงที่ควรสื่ออารมณ์หลงใหลใฝ่ฝันดั่งคำร้องว่า ‘พบหญิงหนึ่งงามจับตา ติดตรึงตรายากลืมเลือน เพียงวันเดียวมิเห็นหน้า คะนึงหาจวนเจียนคลั่ง’ อย่างที่ควรจะเป็นแต่เดิมกลับแตกต่างออกไป
พอซูลั่วอวิ๋นเอียงหูตั้งใจฟังกลับรู้สึกว่าเสียงเพลงนี้หนักแน่นทรงพลัง ขาดความเว้าวอนอ่อนช้อย แทนที่จะพูดว่าเป็นบุรุษที่ตกอยู่ในห้วงรักกำลังถวิลหาสตรีในดวงใจ มิสู้บอกว่าเป็นทหารนักรบที่เปิดเผยโผงผางกำลังถือดาบบังคับสตรีให้แต่งงานด้วยแล้วค่อยกลับเข้าค่ายทหารจะเหมาะกว่า
ด้วยเหตุนี้นางจึงหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เซียงเฉ่าถามคุณหนูใหญ่อย่างสนใจใคร่รู้ว่าหัวเราะอะไร นางจึงบอกสิ่งที่ตนคาดเดาในใจแล้วถามขึ้น
“คนดีดพิณอายุเท่าไร รูปโฉมเป็นอย่างไรหรือ”
เซียงเฉ่าชะโงกดูอีกครั้งถึงมองได้ถนัดตา พอนางเห็นอย่างชัดเจนแล้วก็ยกมือทาบอกพลางกระซิบทันที “โอ้ ใต้หล้าถึงกับมีบุรุษหล่อเหลาปานนี้…บ่าวคิดว่าคุณชายลู่เป็นบุรุษรูปงามหาตัวจับยากแล้ว บัดนี้ดูไปแล้วคุณชายลู่ก็แค่นั้นเอง…”
สาวใช้ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเถียนมามาหยิกต้นขา นางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ จากนั้นถึงรู้ตัวว่าพลั้งปากเอ่ยถึงคุณชายลู่ต่อหน้าคุณหนู
รอยยิ้มบนหน้าซูลั่วอวิ๋นจางลง นางเพียงพูดตัดบทขึ้นว่า “หือ? ข้ายังนึกว่าเป็นพวกทหารนักรบวัยกลางคนเสียอีก ดูไปแล้วข้าคงไม่มีความสามารถในการอ่านคนจากเสียงเสียแล้ว”
จังหวะนี้เองในกลุ่มคนที่มุงดูความครึกครื้นอยู่ข้างรถม้ามีคนจำหน้าคุณชายรูปงามที่ดีดพิณผู้นี้ได้ “นี่คือหานหลินเฟิง เป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อมิใช่หรือ เขาวนเวียนดื่มตามหอสุราบนถนนสายนี้จนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว วันนี้มาก่อเรื่องชวนหัวอะไรที่นี่อีกเล่า”
อีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ได้ยินว่าเขาเดิมพันกับหย่งอันอ๋องซื่อจื่อว่าผู้แพ้ต้องดีดพิณแลกเงินตรงบริเวณที่ผู้คนพลุกพล่าน เมื่อได้เงินพอจ่ายค่าสุราถึงจะไปได้”
ทุกคนฟังแล้วก็มองไป ด้านหน้าเสื่อที่คุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นนั่งคุกเข่าอยู่วางอ่างสำริดงามวิจิตรใบหนึ่งไว้จริงๆ คงจะใช้แทนขันขอทาน
อ่างใบใหญ่เพียงนี้เห็นได้ชัดว่าค่าสุราที่พวกเขาดื่มกันเป็นเงินไม่น้อย
“น่าเศร้าที่บัดนี้สายเลือดของอดีตฮ่องเต้เว่ยจงกลับมีบุตรหลานรุ่นหลังเช่นนี้ เคราะห์ดีที่ในตอนนั้นฮ่องเต้เว่ยเซวียนได้สืบทอดบัลลังก์ มิฉะนั้นแคว้นต้าเว่ยของพวกเราคงย่อยยับด้วยน้ำมือคุณชายเสเพลพรรค์นี้ไปแล้ว”
คนรอบด้านเห็นพ้องกับวาจานี้ทันที เสียงจุปากอย่างเยาะหยันดังมาเข้าหูไม่ขาดสาย
ดูท่าว่าเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้สองปีผู้นี้คงสร้างชื่อเสียงฉาวโฉ่จนเป็นที่เอือมระอาของผู้คนไปแล้ว
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 2567)