บทที่ 81.1
ฉิวเจิ้นเพ่งตามองดูแล้วก็พบว่าไม่เพียงกำแพงของค่ายเสบียงมีการต่อเติมให้สูงขึ้น ยังขุดคูลึกรอบตัวกำแพงทั้งด้านนอกด้านในเพิ่มอีกสองคู หากเดาไม่ผิดหนึ่งในนั้นน่าจะวางฟางข้าวกับน้ำมันไว้
ทันทีที่มีคนบุกโจมตีค่ายกะทันหัน คูลึกสองคูนี้จะช่วยถ่วงรั้งการโจมตีของพลทหารได้ ขณะเดียวกันยังสามารถทำเป็นแนวกำแพงไฟเผาทหารทัพหน้าทะลวงฟันให้เป็นสุกรหนังไหม้เกรียม
นอกจากนี้ทั้งสี่ทิศของกำแพงยังวางแท่นยิงหน้าไม้ที่สร้างขึ้นใหม่จำนวนมาก และที่ติดตั้งบนนั้นล้วนเป็นไกหน้าไม้ใหญ่สีดำมีน้ำหนักถึงหนึ่งชั่ง ดูจากรูปทรงใหญ่เทอะทะแล้ว แรงยิงและระยะยิงจะต้องน่าตกใจอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะมองเห็นภายในตัวค่ายไม่ชัดถนัดตา แต่ฉิวเจิ้นจดจำได้แม่นยำว่าครั้งก่อนยังเห็นพวกพลทหารนั่งรับแดดคุยเล่นกันอย่างเกียจคร้านไร้ระเบียบวินัย
ทว่าขณะนี้มีทหารใหม่ยืนตั้งแถวฝึกฝนการสู้รบอยู่ในลานกว้างอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พลทหารบางนายยังไม่มีชุดทหารใส่ด้วยซ้ำ น่าจะเพิ่งเกณฑ์เข้ามาในค่าย
พวกเขาแต่ละคนไม่ได้สวมชุดแบบเดียวกันหมด แต่ท่าทางเอาจริงเอาจังขณะฝึกซ้อมภายใต้แสงแดดแรงกล้าโดยไม่เช็ดเหงื่อสักครานั้น ถ้าบอกว่าเป็นค่ายทหารทัพหน้าที่แนวรบก็ไม่เกินจริงแต่ประการใด!
นี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงเดือนเศษ เหตุใดค่ายเสบียงกลับเปลี่ยนโฉมใหม่ไปโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ นี่เป็นค่ายเสบียงยุทธปัจจัยที่ใดกัน แทบไม่ต่างจากค่ายทหารใหญ่ที่จัดกระบวนทัพหน้าออกรบทีเดียว
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น เพียงพินิจจากการจัดวางกำลังในค่ายก็ดูออกว่าเป็นฝีมือของแม่ทัพมือฉมัง
ตอนแรกฉิวเจิ้นแค่อยากมาดูสักครา ไม่นึกไม่ฝันว่าค่ายเสบียงที่ไม่อยู่ในสายตาเขาแห่งนี้ถึงกับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
…หรือว่าการจัดกระบวนทัพนี้เป็นฝีไม้ลายมือของจ้าวกุยเป่ย?
โทษมิได้ที่ฉิวเจิ้นจะคิดเช่นนี้ ถึงอย่างไรเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อก็มีชื่อเสียงย่ำแย่ทั้งในเมืองหลวงและเหลียงโจว อีกทั้งการดูแลค่ายก่อนหน้านี้ก็แสดงให้เห็นถึงนิสัยไม่ได้ความของเขาแล้ว
หากคนพรรค์นี้เก่งกาจขึ้นมาในชั่วข้ามคืน ไม่เพียงยกพลไปโจมตีศัตรูอย่างไม่ให้ตั้งตัวได้ ยังจัดกระบวนทัพออกรบเป็น เช่นนั้นมีเหตุผลเดียวคือถูกสลับวิญญาณ
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าบุรุษเสเพลชื่อเสียงฉาวโฉ่ผู้หนึ่งจะมีความสามารถถึงขั้นนี้ได้
ถ้าเป็นความจริง หลายปีมานี้จะมิใช่ว่าเขาซ่อนคมงำประกาย แสร้งเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์เรื่อยมาหรือไร เช่นนั้นออกจะเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำจนน่ากลัวเกินไปแล้ว!
และจากคำรายงานของสายลับในเมืองจยาหย่ง หานหลินเฟิงบอกกับหวังอวิ๋นเองว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากจ้าวกุยเป่ยถึงโชคดีลำเลียงเสบียงมาได้ไม่ใช่หรือ
ในขณะที่ฉิวเจิ้นหรี่ตามองไปไกลๆ สายลับซึ่งถูกส่งไปเฝ้าดูอารามกลางเขาอยู่ในทางลับก็รุดมาถึง “อาจเพราะพวกพี่น้องก่อนหน้านี้แหวกหญ้าให้งูตื่น เมื่อวานตอนดึกคนในอารามถูกพาตัวออกทางประตูหลังไปแล้ว แต่พี่น้องของเราสะกดรอยตามไปตลอด เพียงแต่ถ้ามุ่งหน้าลงใต้ไปอีกก็จะติดตามได้ยากแล้ว เพราะหลังจากนี้จะมีการตรวจค้นที่ประตูเมืองเข้มงวดมากขึ้น พวกพี่น้องกำลังรอคำสั่งต่อไปของท่านผู้บัญชาการขอรับ”
ฉิวเจิ้นหันกายไปช้าๆ มองค่ายตรงเชิงเขาอีกคราหนึ่ง จากนั้นก็ล้วงจดหมายกับยาห่อหนึ่งจากอกเสื้อพลางออกคำสั่ง
“พวกเขาจะพาคนย้ายไปอีกที่หนึ่ง ย่อมต้องแวะพักระหว่างทาง เฉาเพ่ยเอ๋อร์มีนิสัยรักสนุก ชมชอบอยู่กับเด็กน้อย เจ้าหาเด็กหัวไวสักสองคน กำชับพวกเขาให้เข้าใกล้เฉาเพ่ยเอ๋อร์ตอนที่คนสกุลเฉาหยุดพักแล้วหาโอกาสมอบจดหมายกับห่อยาให้นาง”
ในเมื่อพวกนั้นระวังป้องกันอย่างรัดกุมแน่นหนาก็คงได้แต่ลงมือจากข้างใน ยาห่อนั้นเป็นยาสลบฤทธิ์แรง เพียงห่อเล็กๆ ห่อเดียวก็ทำให้หมดสติได้หลายสิบคนแล้ว