ขอแค่เฉาเพ่ยเอ๋อร์ยอมร่วมมือ เอาเจ้าสิ่งนี้ใส่ในอาหารของคนที่เฝ้านางอยู่พวกนั้นก็จะพาตัวนางออกมาได้แน่นอน
หากนางไม่ยอมหรือว่าแผนล้มเหลวก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ต้องลองดูสักคราถึงจะรู้ว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลหรือไม่
สำหรับเรื่องโจมตีค่ายเสบียง ฉิวเจิ้นล้มเลิกความตั้งใจโดยสิ้นเชิงแล้ว
การโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นต้องเลือกโจมตีพวกมะพลับนิ่ม แต่ค่ายเสบียงตรงเชิงเขาในเวลานี้เรียกได้ว่าเสริมเขี้ยวเล็บติดอาวุธไว้เต็มอัตราศึก
ตามหอสังเกตการณ์มีทหารเฝ้ายามอย่างแข็งขัน มองจากที่สูงลงมาจะเห็นทุกอย่างทางด้านล่างได้ทั้งหมด หากจะข้ามคูลึกไปวางดินประสิวอัดแท่งระเบิดค่ายโดยไม่ให้รู้ตัวนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
กระนั้นฉิวเจิ้นหาได้คิดยอมแพ้ไม่ หากแผนนี้ใช้ไม่ได้ เขายังมีแผนสำรองอีก…ลักพาตัวหานหลินเฟิงของค่ายเสบียงเชียนซีมา จากนั้นก็เค้นถามเจ้าเศษสวะผู้นั้นให้ละเอียด!
เขาอยากรู้ว่ายอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังหานหลินเฟิงคือจ้าวกุยเป่ยใช่หรือไม่ แล้วจ้าวกุยเป่ยผู้นี้มีสายสัมพันธ์อันใดกับเฉาเซิ่ง
เมื่อได้ข้อพิสูจน์เป็นที่แน่ชัดแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเองด้วยซ้ำ แค่ส่งหลักฐานมัดตัวจ้าวกุยเป่ยในการกระทำความผิดฐานสมคบคิดกับเฉาเซิ่งไปให้ราชสำนักแคว้นต้าเว่ย ยืมมือฮ่องเต้ปลิดชีพเจ้าลูกสุนัขนั่นก็ได้แล้ว
พอฉิวเจิ้นคิดทบทวนในตอนนี้ เขารู้สึกอยู่ไม่วายว่าเรื่องเหล่านี้เชื่อมโยงกันหมด ไม่แน่ว่ายังมีความลับอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังอีกก็เป็นได้
ขอแค่จับตัวหานหลินเฟิงมาสอบปากคำก็จะรู้เอง
เขาคิดถึงตรงนี้แล้วก็เอ่ยปาก “หัวหน้าหานผู้นั้นมีเรือนในหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยมิใช่หรือ พวกเราไปพบปะกับท่านหัวหน้า หยั่งตื้นลึกหนาบางของเขากันดูสักหน่อย!”
ดังคำกล่าวที่ว่าวีรบุรุษมักลุ่มหลงมัวเมาในเสน่ห์ของนารี ว่ากันว่าหานหลินเฟิงผู้นั้นไปหลับนอนกับภรรยาโฉมงามปานบุปผาของเขาแทบทุกวัน
ฉิวเจิ้นเคยเห็นหญิงตาบอดนางนั้นมาก่อน รูปโฉมงามพิสุทธิ์เหนือใครชั้นนั้นสามารถทำให้คนมองข้ามจุดบกพร่องที่นางเป็นคนตาบอดอย่างน่าเสียดายไปได้
ดังนั้นหานหลินเฟิงจะหลงใหลนางจนลืมเลือนภาระหน้าที่ ต่อให้มาอยู่ในค่ายทหารแล้วก็ต้องไปพลอดรักกับภรรยาบ่อยครั้ง นั่นก็มีเหตุผลพอเข้าใจกันได้
หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยคงไม่ได้คุ้มกันอย่างแน่นหนาเท่าค่ายเสบียง จะไปที่นั่นจับเจ้าหัวหน้าคุมเสบียงเศษสวะตรึงร่างกับเตียงแล้วบั่นศีรษะน่าจะง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ…
เพียงแต่ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงต้องทำให้หญิงตาบอดที่อ่อนแอนางนั้นตกใจจนเสียขวัญแล้ว…หากเอาตัวเฉาเพ่ยเอ๋อร์กลับมาไม่ได้ เขาไม่ถือสาที่จะพาภรรยาของหานหลินเฟิงกลับไปด้วยกัน ถือว่าเป็นรางวัลที่เขารุดมาโจมตีไกลพันหลี่เที่ยวนี้
ฉิวเจิ้นคิดคำนึงเช่นนี้แล้วก็อดคึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมาไม่ได้ เขาเคยพาคนเข้าออกเหลียงโจวซื้อข้าวของเครื่องใช้บ่อยครั้ง จึงคุ้นเคยกับภูมิประเทศโดยรอบเป็นอย่างดี พอตัดผ่านป่าแห่งหนึ่งก็จะไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยแล้ว
แต่พวกเขายังไม่ทันเข้าใกล้ปากทางเข้าหมู่บ้านก็มีเงาคนพุ่งโฉบออกจากดงไม้ฉับพลัน จากนั้นพวกเขาก็ถูกสกัดไว้
“หยุดก่อน ผู้มาเยือนเป็นใคร”
ทหารสองสามนายโผล่ออกมาจากที่ใดก็สุดรู้ ทำหน้าถมึงทึงซักถามพวกเขา
ฉิวเจิ้นใช้ผ้าพันคอปิดบังใบหน้าขี่ม้าอยู่ข้างหลัง ส่วนคนสนิทของเขาตอบเสียงดัง “พวกข้ามีญาติอยู่ในหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ย จึงคิดจะไปขอพึ่งพาอาศัยพวกเขา มีอะไรรึ หรือว่าไปหาญาติก็ผิดอาญาบ้านเมือง?”
ทหารนายนั้นมีท่าทีอ่อนลง เขาถามต่อ “พวกเจ้าจะไปขออาศัยญาติตระกูลใด ชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”
คนสนิทของฉิวเจิ้นบอกชื่อหนึ่งออกมาอย่างส่งเดช คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าทหารจะล้วงสมุดรายชื่อเล่มหนึ่งจากถุงหนังวัวที่พกติดกายไว้ ไล่สายตาขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่งแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ในหมู่บ้านไม่มีคนที่เจ้าพูดถึง…พวกเจ้ามาหาใครและจะทำอะไรกันแน่”
คนสนิทของฉิวเจิ้นคิดไม่ถึงว่าทหารผู้นี้ถึงกับพกสมุดรายชื่อคนในหมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยไว้ตรวจสอบคน เขาก่นด่าในใจก่อนรีบพูดด้วยรอยยิ้มประจบ