ชิ่งหยางล้วงจดหมายฉบับหนึ่งจากอกเสื้อส่งให้หานหลินเฟิง จดหมายเป็นลายมือของเฉาเซิ่ง มีเนื้อความไม่กี่ประโยค ต้องการบอกเพียงอย่างเดียวว่าภรรยามีความคิดอ่านตื้นเขิน บุตรสาวอกตัญญู กลายเป็นอาวุธในมือโจรร้าย ขอให้หานหลินเฟิงยึดถือแผนการใหญ่เป็นที่ตั้ง ตัดสินชี้ขาดเองโดยไม่ต้องเห็นแก่เขา
ซูลั่วอวิ๋นฟังแล้วก็ถอนใจยาวคราหนึ่ง ความลำบากใจของเฉาเซิ่งเผยออกมาในเนื้อความที่แสนสั้นนั่นแล้ว
ที่เขาบอกว่า ‘ตัดสินชี้ขาดเอง’ ก็หมายความว่าจะมอบความเป็นความตายของบุตรสาวไว้ในกำมือของหานหลินเฟิง ไม่ขอยุ่งเกี่ยวโดยสิ้นเชิง
พอหานหลินเฟิงเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้นางฟัง ซูลั่วอวิ๋นยังรู้สึกโกรธจนแน่นหน้าอกอยู่บ้าง
“เฉาฮูหยินมิได้ล่วงรู้เรื่องที่ฉิวเจิ้นวางยาเฉาเซิ่งหรือไร นางช่างไม่คิดเสียบ้างว่าบุตรสาวตนเองฝากชีวิตไว้กับบุรุษเช่นนี้จะมีจุดจบที่ดีอันใดได้”
หานหลินเฟิงกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องที่ฉิวเจิ้นพิชิตเมืองจยาหย่งได้อย่างยิ่งใหญ่ถูกเล่าลือกันระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั่ว พวกนางสองแม่ลูกก็ได้ยินได้ฟังบ้างระหว่างทาง ในจดหมายที่ฉิวเจิ้นส่งให้เฉาเพ่ยเอ๋อร์คงจะเป็นคำสัญญาลมๆ แล้งๆ ให้นางเกิดความหวัง”
ซูลั่วอวิ๋นไม่อาจมีความรู้สึกร่วมไปกับการบูชาความรักถึงขั้นสละได้ทุกสิ่งเช่นฟางจิ่นซูกับเฉาเพ่ยเอ๋อร์ และการที่เฉาเซิ่งให้หานหลินเฟิงเป็นคนตัดสินชะตากรรมของบุตรสาว เห็นได้ชัดว่าเขาปัดปัญหายุ่งยากมาให้หานหลินเฟิงด้วยพร้อมกัน
หากนิ่งดูดาย ฉิวเจิ้นซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบุตรเขยของเฉาเซิ่งจะเปรียบเสมือนพยัคฆ์ติดปีก ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นจะร้ายแรงเพียงใดก็ยากจะคาดเดา! แต่ถ้าจะผดุงความชอบธรรมโดยไม่เห็นแก่สายสัมพันธ์ฉันญาติมิตร หาโอกาสสังหารเฉาเพ่ยเอ๋อร์ก็จะผิดต่อมิตรภาพระหว่างพี่น้องร่วมสาบานของหานหลินเฟิงกับเฉาเซิ่ง
ซูลั่วอวิ๋นนึกโมโหแทนหานหลินเฟิง แต่นางก็คิดไม่ออกในชั่วครู่ชั่วยามว่าควรรับมือกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้อย่างไรกันแน่
ทางด้านหานหลินเฟิงกลับสงบเยือกเย็น เมื่อนางเอ่ยถาม เขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนนี้ทำได้เพียงดูสถานการณ์ไปทีละก้าว ทว่าจะให้ฉิวเจิ้นเอาชื่อของเฉาเซิ่งไปใช้เป็นเครื่องมือไม่ได้เด็ดขาด”
นางส่ายหน้า “จะทำตามคำบอกเป็นนัยของเฉาเซิ่งก็ไม่ได้เจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูเฉาจบชีวิตลง ฉิวเจิ้นก็คงจะยกจุดนี้มาขยายให้เป็นเรื่องใหญ่ เดิมทีเขาก็เป็นคนบ้านแตกสาแหรกขาดอยู่แล้ว หากภรรยาผู้เป็นที่รักถูกคนสังหารอีกจะยิ่งเชิดชูความเป็นวีรบุรุษผู้มีชะตาอาภัพในใจผู้คนมากขึ้น ต่อให้เขาพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินก็ชอบด้วยเหตุผล!”
หานหลินเฟิงลูบเรือนผมสลวยที่ปล่อยสยายลงกลางแผ่นหลังของนาง “หากเฉาเซิ่งแต่งภรรยาที่เหมือนกับเจ้าก็คงดี…”
เฉาเพ่ยเอ๋อร์ดื้อรั้นเอาแต่ใจตนเช่นนี้เป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวไม่ดีของเฉาฮูหยินอย่างปฏิเสธไม่ได้ หากเป็นครอบครัวธรรมดายังพอทำเนา แต่ในสภาพการณ์ยามนี้ของเฉาเซิ่งกลับเป็นจุดอ่อนถึงตายได้
ซูลั่วอวิ๋นทอดถอนใจ หากพินิจจากความเป็นมาของฉิวเจิ้น นางคิดว่าในใจบุรุษเช่นนี้คงไม่มีความรักหวานซึ้งของชายหญิงอยู่แม้เพียงสักเศษเสี้ยว เฉาเพ่ยเอ๋อร์ผู้นั้นคงเลือกคู่ชีวิตผิดแล้ว
เมื่อได้ยินคำกล่าวอย่างทอดถอนใจของหานหลินเฟิง นางก็แสร้งพูดว่า “ได้ ข้าตกลงจะแต่งงานใหม่ ท่านจัดเตรียมสินเดิมเจ้าสาวให้ข้าก็แล้วกัน!”
เขาหยิกแก้มนาง “พอพูดเรื่องนี้เจ้าก็รับคำทันที อย่าแม้แต่จะคิด! ยังจะให้เตรียมสินเดิมเจ้าสาวให้เจ้าอีก ดาบเล่มนั้นของข้าอยากได้หรือไม่”
ซูลั่วอวิ๋นใช้แขนโอบรอบคอเขา คลี่ยิ้มแล้วจุมพิตแก้มบุรุษที่ทำหน้าบึ้งตึง ปกติดูเป็นคนนุ่มนวลใจเย็น แต่พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ทีไรเขาก็จะชักสีหน้าทันที
ทว่าสถานการณ์ในขณะนี้ตึงมือจริงๆ นางครุ่นคิดตรึกตรองไปมาแล้วพลันเอ่ยขึ้น “เอาเป็นว่าจะให้ฉิวเจิ้นมีเงินทองมากเกินไปไม่ได้ เฉาเซิ่งมอบสมุดบัญชีเงินเกื้อหนุนจากคหบดีทุกเมืองให้ท่านมาไม่ใช่หรือ ท่านหาชื่อผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ที่สุดออกมา คิดหาวิธีปิดบ่อเงินบ่อทองของฉิวเจิ้นก็พอ อีกอย่างเฉาเซิ่งจะต้องหายดีให้ได้ หากเขาล้มลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ยาก”
ซูลั่วอวิ๋นเพียงคิดอ่านตามประสาคนทำการค้า ในเมื่อฉิวเจิ้นคิดจะทำการใหญ่ก็เพียงตัดแหล่งทุนรอนของเขาเป็นอันสิ้นเรื่อง
หานหลินเฟิงดวงตาเป็นประกาย ก้มหน้าลงจุมพิตนางคราหนึ่งอย่างห้ามใจไม่อยู่ “วิธีนี้ของเจ้าเข้าที ขอให้ข้าลองคิดดูก่อน”
บัดนี้ฉิวเจิ้นฉกฉวยผลสำเร็จของกองทัพกบฏไปใช้ประโยชน์ ถ้าไม่ขัดขวางก็ไม่กล้าคิดแล้วว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร
กระนั้นติดขัดที่ศักดิ์ฐานะของตน เขาจะบุ่มบ่ามไปขออยู่ภายใต้บังคับบัญชาจ้าวต้งโดยตรงไม่ได้ ยามนี้การแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกำลังดุเดือด ส่วนทางชายแดนก็มีทั้งศึกภายนอกและศึกภายใน
สิ่งที่เขาพอทำได้ก็คือสะสางปัญหาจุกจิกที่สามารถช่วยให้จ้าวต้งรักษาความสงบของชายแดนไว้ได้ โดยตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าจ้าวต้งต้องปกป้องคนทั้งจวนอ๋องให้ปลอดภัย
ยามนี้ล่วงเข้าฤดูใบไม้ผลิ เป็นเวลาที่อากาศอบอุ่น มวลพฤกษชาติแตกหน่อผลิใบเขียวขจี พวกชาวเถี่ยฝูก็คงจะเริ่มกระเหี้ยนกระหือรือแล้ว…