ฉิวเจิ้นเหยียดยิ้มมุมปากมองดูนางร่ำไห้ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปโอบไหล่นาง ทอดน้ำเสียงอ่อนลงกล่าวว่า “คนอื่นอาจไม่เข้าใจข้า แต่เจ้าจะไม่เข้าใจข้าเชียวหรือ ข้าเคารพนับถือผู้บัญชาการเฉาอย่างยิ่ง เพียงแต่ข้ากับเขามีความคิดเรื่องอนาคตของกองทัพกบฏแตกต่างกันอยู่มาก บิดาเจ้าคิดแต่จะไปตามเส้นทางสันติปรองดอง โดยหวังว่าราชสำนักจะเปลี่ยนท่าทีและอนุญาตให้เขาพิชิตดินแดนคืน ทว่าข้ามีความแค้นฝังลึกกับฮ่องเต้สุนัขนั่น แล้วจะเดินในเส้นทางสันติปรองดองได้อย่างไร เจ้าเป็นคนที่เข้าใจข้ามิใช่หรือ ถึงข้าจะให้บิดาเจ้าหลับไปหลายตื่น แต่ไม่ได้หมายปองชีวิตเขา เหตุใดเจ้าถึงระแวงสงสัยข้าตามบิดาเจ้าเล่า”
เฉาเพ่ยเอ๋อร์ได้ยินคำกล่าวนี้ของเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาหลายส่วน ใช่แล้ว…พี่ฉิวกับท่านพ่อมีความคิดเห็นต่อราชสำนักไม่ตรงกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
อีกประการหนึ่งครอบครัวของฉิวเจิ้นล้วนตายด้วยน้ำมือฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเว่ย จะให้เขาสวามิภักดิ์ต่อราชสำนัก นี่จะมิใช่นับถือโจรเป็นบิดาหรือไร ท่านพ่อสร้างความลำบากใจให้เขาแล้วจริงๆ…
ฉิวเจิ้นเข้าใจสตรีนางนี้ดี แม้ท่าทางจะดูละม้ายคล้ายแมวป่าแสยะเขี้ยวกางเล็บ ทว่าแท้จริงแล้วเป็นคนหูเบา มิหนำซ้ำยังลุ่มหลงมีใจให้เขา กับสตรีเช่นนี้จะยอมเป็นเบี้ยล่างมากไปไม่ได้ แค่อ่อนข้อให้เล็กน้อยแล้วแสดงความอ่อนโยนต่อนางบ้างเท่านั้นเป็นพอ
เมื่อเอ่ยถึงญาติพี่น้องสกุลฉิวที่ถูกประหารทั้งตระกูล เฉาเพ่ยเอ๋อร์ก็ลดเสียงให้เบาลงดังคาด นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงละอายใจ
“ท่านพ่อข้าไม่เห็นอกเห็นใจท่านมากพอจริงๆ แต่ท่านก็ไม่อาจ…”
ฉิวเจิ้นเอ่ยอย่างนุ่มนวลตัดบทนาง “เจ้าเล่าเรียนหนังสือได้ไม่กี่วัน ยังมองการณ์ไกลไม่พอ ข้าจะไม่เรียกร้องอะไรจากเจ้า ดังคำกล่าวที่ว่าผู้ทำการใหญ่ต้องไม่สนใจเรื่องเล็กน้อย เวลานี้ข้าตีเมืองจยาหย่งได้แล้ว ขวัญทหารทั้งกองทัพกำลังฮึกเหิม รอเมื่อข้าได้ครองแผ่นดินจะพาเจ้าไปพบผู้บัญชาการเฉาโขกศีรษะรับผิดด้วยตนเอง จะลงโทษอย่างไรก็สุดแท้แต่เขา…ทว่าก่อนหน้านั้นข้าไม่มีเวลามารักษาความสัมพันธ์กับใครๆ อีกทั้งไม่ปรารถนาให้สตรีของข้าไม่เห็นแก่ส่วนรวม คอยแต่จะเป็นตัวถ่วงรั้งข้าไว้เช่นนี้ เพ่ยเอ๋อร์ เจ้าจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ข้าหรือไม่”
นางมองฉิวเจิ้น ยามเขากล่าวถ้อยคำทั้งหมดนี้แผ่บารมีน่าเกรงขามประหนึ่งเป็นผู้ปกครองแผ่นดินไปแล้ว หากนางมัวแต่ก่อกวนไม่หยุดอีกจะมิใช่หญิงชนบทที่หูตาคับแคบหรือ แล้วจะเป็นสตรีที่คู่ควรอยู่ข้างกายเขา เป็นมารดาของแผ่นดินในวันข้างหน้าได้อย่างไร
เฉาเพ่ยเอ๋อร์ซึ่งไร้รูปสมบัติมักรู้สึกต่ำต้อยยามอยู่กับฉิวเจิ้นบุรุษรูปงามเหนือใครเป็นธรรมดา ถ้ายังไม่มีคุณสมบัติใดๆ อีก นางจะมีสิทธิ์อะไรได้ยืนเคียงข้างบุรุษที่โดดเด่นเช่นนี้
เพราะเหตุนี้นางจึงตั้งมั่นที่จะเป็นภรรยาที่ดีของเขาให้จงได้
ดังนั้นพอฉิวเจิ้นเอ่ยถาม นางก็ลดความผยองลงโดยไม่รู้ตัว พยักหน้าอย่างเคารพเชื่อฟัง…ฉิวเจิ้นไม่มีคนในครอบครัวอยู่ในโลกนี้แม้เพียงสักคน หากนางเองก็ไม่สนับสนุนไม่เชื่อถือเขา เขาจะไม่โดดเดี่ยวเดียวดายไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่หรือ
ครั้นเห็นแววสงสารเห็นใจในดวงตานาง รอยยิ้มของฉิวเจิ้นก็ยิ่งขยายกว้างขึ้น เพราะเขารู้แล้วว่าอุบายจดหมายป่าวประกาศที่เฉาเซิ่งใช้เล่นงานเขานั้นสามารถคลี่คลายได้อย่างราบรื่นแล้ว!
เหตุการณ์ในเวลาต่อมาเป็นไปตามที่ซูลั่วอวิ๋นคาดเดาไว้ล่วงหน้า หลังเฉาเพ่ยเอ๋อร์กลับไปอยู่กับฉิวเจิ้นแล้วก็แต่งงานกับเขาทันที
นางยังบอกกล่าวต่อคนนอกไปทั่วว่าบิดาป่วยหนักไปพักรักษาตัวอยู่ในสถานที่เงียบสงบ ส่วนจดหมายป่าวประกาศที่แพร่กระจายไปทุกเมืองก่อนหน้านี้มีคนแอบอ้างชื่อบิดานางเขียนขึ้นเอง เชื่อถือมิได้!
ชั่วขณะนั้นเกิดเสียงโจษจันไปทั้งกองทัพกบฏว่าจดหมายป่าวประกาศลายมือเฉาเซิ่งนั่นเป็นของปลอม ในเมื่อคุณหนูเฉาเป็นฝ่ายหนีจากเงื้อมมือของโจรร้ายมาได้เองก็พิสูจน์ได้ว่าฉิวเจิ้นกับเฉาเซิ่งไม่ได้บาดหมางกัน ข่าวลือก่อนหน้านี้เป็นการสาดโคลนใส่ฉิวเจิ้นทั้งสิ้น
ฉิวเจิ้นยังอาศัยการแต่งงานกอบโกยเงินทองได้ก้อนโต บรรดาคหบดีที่สนิทสนมกับเฉาเซิ่งทั้งหลายพากันมอบซองแดงเป็นของขวัญอวยพร
ที่บอกว่าเป็นซองแดง ความจริงแล้วคือค่าคุ้มครองเพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ ถึงอย่างไรตอนนี้ฉิวเจิ้นก็กำลังแข็งแกร่งไร้ผู้ต้านทาน มอบเงินให้เขาบ้างเป็นการเหลือทางหนีทีไล่ให้ตนเองสักทาง นี่ต่างหากคือวิถีแห่งการเอาตัวรอดในกลียุค
ในบรรดานั้นยังมีผู้อุปถัมภ์ลึกลับคนหนึ่งที่จะเกื้อหนุนด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุด เพียงรอผู้อุปถัมภ์ลึกลับรวบรวมเงินทองมามอบให้ หลังจากนี้ฉิวเจิ้นก็จะหมดกังวลได้โดยสิ้นเชิง!