บทที่ 83.1
หานเหยาได้ยินน้องชายพูดขึ้นมา นางก็เอ่ยอย่างลิงโลด “ดี! พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกลับไปที่หมู่บ้านเฟิ่งเหว่ยแล้ว ที่นั่นวุ่นวายเหลือเกิน ท่านคัดอักษรได้ดี เข้ามาร่วมวงด้วยกันได้พอดี…”
แต่หานเซียวได้ยินคำกล่าวของพี่สาวแล้วกลับถลึงตาใส่ พูดอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ข้าจัดตั้งชุมนุมไม่ใช่ทำขึ้นเล่นๆ เพื่อให้สตรีว่างงานมาฆ่าเวลา หากคนในชุมนุมมีความสามารถไม่ทัดเทียมกัน คนเก่งที่แท้จริงจะคอยถ่อมตนออมมือเพื่อรักษาน้ำใจ ขณะที่พวกไร้วิชาความรู้เกรงตนเองจะอับอายขายหน้าก็ต้องเค้นสมองอย่างหนัก เช่นนั้นจะมีอะไรน่าสนุกเล่า ท่านอาจารย์ของข้าเคยสอนไว้ว่าบินคู่กับหงส์ได้ล้วนเป็นยอดวิหค แล้วจะรวมฝูงกับพวกนกกระจิบนกกระจอกไปไย”
ซูลั่วอวิ๋นฟังออกแล้วว่าถ้านกกระจอกบ้านเช่นนางไปเข้าร่วมชุมนุมโดยไม่รู้กาลเทศะจะฉุดรั้งชุมนุมแต่งบทกลอนวาดภาพของน้องชายสามีให้ตกต่ำลง ทำให้เหล่าผู้มากความสามารถของเหลียงโจวไม่มีที่แสดงฝีมือ!
ทางด้านหานหลินเฟิงวันนี้ดูท่าทางอารมณ์ไม่ดีด้วยเหตุใดก็สุดรู้ เขาหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา พอได้ยินคำกล่าวปรามาสภรรยาของตนเองเช่นนี้ก็ทนฟังไม่ได้
แต่เขาเพิ่งทำตาขุ่นจะพูดโต้กลับ ซูลั่วอวิ๋นกลับเตะขาเขาใต้โต๊ะ จากนั้นก็กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าไม่ไปร่วมวงด้วยจะดีกว่า พักนี้พี่ชายของพวกเจ้ามีอาการปวดเอวเจ็บขา ข้าต้องรมยาให้เขาทุกวัน เด็กหนุ่มเด็กสาวอย่างพวกเจ้าเล่นสนุกกันเองก็แล้วกัน”
คุณชายน้อยหานเซียวส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เขาเริ่มจับผิดคำพูดของพี่สะใภ้สามัญชน “คนคอเดียวกันรวมตัวกันจะใช้คำว่า ‘เล่น’ ได้หรือ พวกข้าแลกเปลี่ยนฝีมือทักษะกัน เป็นการบ่มเพาะขัดเกลาตนเองต่างหาก”
ได้ยินน้องชายสามีให้เกียรติแก้ไขคำพูดให้ ซูลั่วอวิ๋นก็พยักหน้าอย่างขึงขัง พูดเสริมขึ้นว่า “อืม พวกเจ้าบ่มเพาะขัดเกลาตนเองตามสบาย พยายามเป็นหงส์ให้ได้ในเร็ววันเถิด!”
หลังมื้ออาหารที่จวนอ๋องจบลง บนรถม้าขากลับซูลั่วอวิ๋นเอ่ยถามสามีที่นิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่ตลอด “น้องชายท่านเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาใดหรือเจ้าคะ”
หานหลินเฟิงบอกแล้วถามต่อ “มีอะไรหรือ”
ซูลั่วอวิ๋นคลี่ยิ้มไม่ตอบ ยังจะมีอะไรได้ ย่อมต้องจดจำชื่อสำนักศึกษานี้ไว้ให้แม่นยำ วันหน้าจะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรชายบุตรสาวถลำตัวเข้าไปติดกับ!
คุณชายน้อยในวัยสดใสร่าเริงกลับถูกเลี้ยงดูมาเหมือนนกยูงรำแพนหาง ถ้าเขาเป็นบุตรชายของนาง นางจะต้องดึงหูอบรมสั่งสอนให้เข็ดหลาบสักยกในตอนนั้นให้จงได้
แม้นางจะเห็นแก่หน้าเขา ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่หานหลินเฟิงไม่ได้โง่งม เป็นธรรมดาที่จะเข้าใจคำพูดครึ่งๆ กลางๆ ของนาง เขาเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ในเรื่องอบรมสั่งสอนน้องชาย ข้าสู้เจ้ามิได้”
ซูกุยเยี่ยนน้องชายที่ซูลั่วอวิ๋นอบรมบ่มเพาะเองนั้นเป็นถึงราชบัณฑิตหนุ่มน้อยผู้เพียบพร้อมทั้งวิชาความรู้และความประพฤติ เทียบกับน้องชายผู้สูงส่งของเขาผู้นั้นแล้วเหนือกว่าหลายเท่านัก
นางได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็เอ่ยยิ้มๆ “เอาเถิด จะเปรียบเทียบกันไปเพื่ออันใด ไม่ไปซุกซนเกเรข้างนอกก็เป็นน้องชายที่ดีทั้งนั้น ตอนนี้ฉิวเจิ้นเริ่มเป็นต่อมากขึ้นทุกวัน ราชบุตรเขยจ้าวมาถึงแล้วจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้หรือไม่เจ้าคะ”
หานหลินเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นในที่สุด “ฉิวเจิ้นเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ หากปล่อยให้เขาครองความเป็นใหญ่ไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดความระส่ำระสายไปทั้งแผ่นดิน เพียงแต่ชายแดนแห่งนี้สุนัขป่าที่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้มีเขาผู้เดียว อีกไม่นานอากาศจะอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่บุปผาผลิบาน มีน้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์สำหรับวัวแพะ ชาวเถี่ยฝูก็จะอยู่ไม่สุข เฉาเซิ่งลำบากเหนื่อยยากมานานหลายปีกว่าจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่กลับถูกฉิวเจิ้นคว้าไป เกรงว่าถ้าแคว้นต้าเว่ยเกิดศึกสงคราม ชาวเถี่ยฝูจะต้องหาโอกาสฉกฉวยประโยชน์เป็นแน่”
ซูลั่วอวิ๋นพยักหน้า “อีกนัยหนึ่งคือราชบุตรเขยจ้าวต้องชนะเท่านั้น จะพ่ายแพ้ไม่ได้ มิฉะนั้นจะไม่เหลือทางถอยแล้ว…”
หานหลินเฟิงไม่กล่าววาจา หลับตาลงจมอยู่ในภวังค์ หลายวันมานี้ค่ายเสบียงของเขารับคนหนุ่มเข้ามาเป็นพลทหารไม่น้อย
ฮ่องเต้มีความหวาดระแวงต่อเหลียงโจว ดังนั้นถึงจวนเป่ยเจิ้นอ๋องจะมีเรือกสวนไร่นาพระราชทานอยู่ แต่ไม่สามารถเลี้ยงดูกองทัพได้
ทันทีที่ไฟสงครามลุกลามมาถึงเหลียงโจว หากบิดาไม่อาจพาคนในตระกูลหนีไปได้ทันเวลา คงได้แต่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองกระโดดลงมาพลีชีพเพื่อแว่นแคว้นแล้ว
ถึงอย่างไรเรื่องที่เซิ่งเต๋อไท่หวงตกอยู่ในมือข้าศึกก็เป็นความอัปยศของแผ่นดิน ถ้าบุตรหลานชนรุ่นหลังยังซ้ำรอยเดิมอีกคงไม่อาจสู้หน้าบรรพชนในปรโลกได้