บทที่ 84.1
ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องมองชุดรัดเอวแขนหลวมทำจากผ้าพลิ้วกรุยกรายลายปักซูซิ่ว บนร่างองค์หญิงอวี๋หยางอีกครา ดูคล้ายกับแบบที่ซูลั่วอวิ๋นสวมใส่ก่อนหน้านี้
จังหวะนี้เองหานเหยาก็ส่งสายตาให้มารดาราวกับบอกว่า ‘ข้าบอกแล้ว!’
ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องแสร้งมองไม่เห็น แม้บนใบหน้านางจะประดับรอยยิ้ม แต่ในใจเริ่มโกรธกรุ่น ครั้นจะระบายอารมณ์กับองค์หญิงอวี๋หยางก็ทำไม่ได้ เป็นเหตุให้นางคับอกคับใจอย่างมาก
ดีที่ซูลั่วอวิ๋นยังนับว่าเห็นแก่หน้ามารดาสามี ไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนจัดแจงแก้ชุดให้เป็นการประจานความล้าสมัยของชายาเป่ยเจิ้นอ๋องต่อหน้าทุกคน นางเพียงพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“ที่นี่เทียบกับเมืองหลวงที่มีงานเลี้ยงน้อยใหญ่ต้องสวมอาภรณ์หรูหรางามตาบ่อยครั้งไม่ได้เพคะ ดูแลเพียงงานบ้านงานเรือน สวมชุดแขนสอบก็คล่องตัวกว่า”
องค์หญิงอวี๋หยางส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ข้ามาถึงที่นี่แล้ว จะขาดงานเลี้ยงได้…”
นางพูดประโยคนี้ไปได้ครึ่งเดียว ทันใดนั้นจ้าวต้งก็มองมาด้วยสายตาแฝงนัยบางอย่าง
จ้าวต้งเป็นคนตาใหญ่ แค่เบิกตานิดเดียวก็โตเท่าไข่ห่านแล้ว องค์หญิงอวี๋หยางหยุดพูดทันควันตามความเคยชิน
นางนึกถึงถ้อยคำที่เคยเอ่ยรับรองกับสามีระหว่างทางแล้วก็พูดวกกลับเข้าเรื่องเดิมยิ้มๆ “…แน่นอนว่าบัดนี้เป็นช่วงสงคราม ไม่เหมาะจะจัดงานเลี้ยงใหญ่โต…ไม่รู้ว่าปกติพวกเจ้าทำอะไรคลายเหงากันบ้าง”
หัวข้อสนทนาตรงใจซูลั่วอวิ๋นพอดี นางกล่าวขึ้นว่า “ขณะนี้ใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิ แต่ชุดฤดูใบไม้ผลิของเหล่าทหารแนวหน้ายังทำไม่ครบถ้วน เดิมทีหม่อมฉันคิดอยู่ว่าหากมีใครสักคนเป็นตัวตั้งตัวตีเริ่มทำงานนี้ ระดมสตรีเรือนในจากทุกจวนมาช่วยตัดเย็บชุดให้เหล่าทหารกันคนละไม้คนละมือก็คงจะดี จนใจที่หม่อมฉันไม่มีบารมีพอจึงไม่ได้ลงมือทำ ตอนนี้องค์หญิงเสด็จมาถึงแล้ว จะต้องมีเสียงขานรับล้นหลามเป็นแน่ บรรดาฮูหยินในหลายๆ เมืองโดยรอบจะต้องยกให้องค์หญิงเป็นผู้นำเพคะ”
แต่ไหนแต่ไรมาจวนเป่ยเจิ้นอ๋องวางตัวสงบเสงี่ยมเสมอ จะลงมือทำเรื่องนี้ก็ไม่เป็นการดี แต่ถ้าองค์หญิงอวี๋หยางเป็นหัวเรือใหญ่ จะมีเสียงเล่าลือไปถึงที่ใดก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
เหตุผลที่ซูลั่วอวิ๋นเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก็มีจุดประสงค์ส่วนตัวแอบแฝงอยู่ด้วย
ค่ายทหารอื่นยังพอทำเนา แต่ค่ายเสบียงเชียนซีขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์มากเป็นพิเศษ เนื่องจากหานหลินเฟิงรับทหารใหม่เข้ามาไม่น้อย แต่กลับไม่มีชุดทหาร แต่ละคนจึงยังแต่งกายกันไปตามมีตามเกิดไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
หานหลินเฟิงขยายกำลังทหารก็เป็นการละเมิดกฎอยู่แต่เดิม หากจวนเป่ยเจิ้นอ๋องมอบเงินทองสนับสนุนอย่างเปิดเผยอีกก็ไม่เหมาะสม
แต่ถ้าเร่งตัดชุดเพิ่มให้พลทหารใหม่พวกนั้นได้มีชุดสวมใส่ ขวัญกำลังใจทหารของค่ายเสบียงน่าจะฮึกเหิมมากขึ้น
องค์หญิงอวี๋หยางได้ยินคำกล่าวนี้ของซูลั่วอวิ๋นแล้วก็พยักหน้าทันที “เรื่องนี้ดี พวกบุรุษล้วนออกไปแนวหน้า สตรีเรือนหลังอย่างพวกเราก็ต้องทุ่มเทกายใจเต็มที่เป็นธรรมดา”
นางพูดพลางมองจ้าวต้ง พอเห็นเขาไม่มีสีหน้าไม่พึงใจก็รับคำอย่างวางใจ
องค์หญิงอวี๋หยางยังหันไปพูดกับชายาเป่ยเจิ้นอ๋องอย่างยิ้มแย้ม “ลำพังข้าคนเดียวคงเตรียมการไม่ไหว ยังต้องให้พระชายาคอยช่วยเหลือบ้างอย่างขาดเสียมิได้”
เดิมทีชายาเป่ยเจิ้นอ๋องถูกปล่อยให้ยืนเก้ออยู่ด้านข้างตลอด ได้แต่มองดูองค์หญิงอวี๋หยางกับซูลั่วอวิ๋นสนทนากันอย่างถูกคอจนหาโอกาสพูดแทรกไม่ได้
ขณะนี้องค์หญิงอวี๋หยางพลันเอ่ยขึ้นว่าจะเตรียมงานตัดเย็บชุดทหารกับนาง ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงได้อย่างเต็มที่ ทำให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องรู้สึกคึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมา นางแย้มยิ้มรับคำเช่นกัน
ส่วนซูลั่วอวิ๋นที่เป็นคนเสนอความคิดกลับอ้างว่าอาการตาบอดของตนยังไม่หายดี ขอปลีกตัวไม่เข้าร่วม
เมื่อพูดเรื่องงานฆ่าเวลาหลังมาอยู่ที่เหลียงโจวจบ องค์หญิงอวี๋หยางก็บอกเหตุผลที่ตนเองไล่ตามมาให้ชายาเป่ยเจิ้นอ๋องกับซูลั่วอวิ๋นฟัง
โดยเฉพาะเมื่อเล่าถึงตอนที่จ้าวต้งประกาศลั่นว่าจะหย่ากับนางในวัง องค์หญิงอวี๋หยางก็ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่งแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
“จ้าวต้งของข้าเป็นคนเช่นนี้เอง ปกติโอนอ่อนคล้อยตามข้าไปเสียทุกอย่าง แต่พอเกี่ยวพันถึงงานบ้านงานเมืองก็จะดึงดันเหลือทน ข้าเองก็จนปัญญา ในเมื่อห้ามไม่ฟังจึงต้องตามมาด้วย”
ตอนที่องค์หญิงอวี๋หยางเล่าเหตุการณ์นี้ น้ำเสียงของนางแฝงการโอ้อวดอย่างบอกไม่ถูก ราวกับรู้สึกว่าการที่สามีจะหย่ากับนางแสดงถึงความเป็นบุรุษอกสามศอกอย่างมาก
ซูลั่วอวิ๋นฟังคำพูดโอ้อวดสรรเสริญสามีขององค์หญิงอวี๋หยางแล้วกลับเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ทว่าชายาเป่ยเจิ้นอ๋องได้ยินแล้วต้องฝืนทนไว้ไม่ให้เบิกตากว้าง