ทว่าพอจ้าวต้งนำคำพูดเหล่านี้กลับมาตรึกตรองตามลำพังแล้วก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง…ตามที่บุตรชายเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยคุณชายกัวหรือว่าปราบศัตรูในป่าปีศาจ หานหลินเฟิงได้แสดงฝีมือการรบสุดพิสดารที่ห้าวหาญเฉียบขาดออกมาแล้ว
ความสามารถชั้นนี้มิใช่เรียนรู้กันได้ในชั่วข้ามคืน แต่จำเป็นต้องผ่านการบ่มเพาะฝึกฝนและคลุกคลีอยู่กับตำราพิชัยสงครามมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่ายังเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะมีพรสวรรค์ในการบัญชาการรบมาแต่กำเนิด
แต่ถ้าเป็นคนเก่งกาจปราดเปรื่องเช่นนี้ เหตุใดหานหลินเฟิงต้องประพฤติตนเหลวไหลไร้ขอบเขตถึงเพียงนั้นในเมืองหลวงด้วย
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่มาถึงฮุ่ยโจวแล้วได้พบหานหลินเฟิงคราวนี้ จ้าวต้งก็ลอบมองสำรวจอีกฝ่ายโดยไม่เผยพิรุธอยู่ตลอดเวลา
หานหลินเฟิงในเวลานี้ไม่ได้ประทินโฉมตามความนิยมในเมืองหลวงมานานแล้ว บางทีอาจเพราะกรำแดดฝึกทหารเป็นประจำ ผิวหน้าของเขาเริ่มเป็นสีน้ำผึ้งจางๆ รับกับดวงตาคมเข้มและคิ้วดกหนา เสริมส่งให้ดูสง่าองอาจยิ่งขึ้น กอปรกับท่วงท่าอกผายไหล่ผึ่งเช่นนั้น ไม่มีร่องรอยทรุดโทรมอิดโรยของคนที่มัวเมาในสุรานารีแม้แต่น้อย
บุรุษที่สุขุมลุ่มลึกสมเป็นชายชาตรีเช่นนี้ต่างจากซื่อจื่อผู้หลงระเริงในสังคมโลกีย์ของเมืองหลวงราวกับเป็นคนละคนทีเดียว!
ขณะนี้หานหลินเฟิงเดินเล่นเป็นเพื่อนจ้าวต้งอยู่ในสวนบุปผาของเรือนตนเอง จ้าวต้งจะตั้งค่ายอยู่ที่นี่ ทั้งยังต้องไปตรวจตราค่ายเชียนเป่ยอีก ย่อมต้องพำนักอยู่ด้วยสักสองสามวัน
หานหลินเฟิงก็สังเกตเห็นสายตาพินิจพิจารณาของจ้าวต้งเช่นกัน เขาไม่ได้หลบเลี่ยง ปล่อยให้อีกฝ่ายมองสำรวจตามสบาย
ถึงอย่างไรเขาก็สังหารจ้าวกุยเป่ยเพื่อปิดปากไม่ได้ ทั้งยังไม่อาจขัดขวางสองพ่อลูกพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
หลังจากจ้าวต้งเอ่ยถึงคำบอกเล่าของบุตรชายแล้วเงยหน้าขึ้น หานหลินเฟิงก็เอ่ยว่า “แผ่นดินจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยเป็นความรับผิดชอบของราษฎรทุกผู้ทุกนาม ไฟสงครามใกล้ลุกลามมาถึงเหลียงโจวเต็มที หากข้ายังไม่รักดี ทำตัวเหลวไหลไปวันๆ เหมือนตอนอยู่เมืองหลวงดังเดิม จะไม่เป็นการปล่อยให้บิดามารดา น้องสาวน้องชาย และภรรยาต้องฝังร่างใต้เท้าทหารม้าเหล็กกลางสมรภูมิหรือไร ส่วนเรื่องที่แม่ทัพน้อยจ้าวเล่าให้ท่านฟังนั้น ไม่มีอะไรนอกจากข้าบังเอิญโชคดี อาศัยความช่วยเหลือของผู้ใต้บังคับบัญชาถึงสำแดงบารมีได้ หวังว่าแม่ทัพจ้าวจะไม่เอ่ยถึงอีก หากเล่าลือกันจนเลยเถิดเกินไป เชิดชูข้าเสียเลิศลอย เช่นนั้นข้าคงหาทางลงไม่ได้แล้ว”
จ้าวต้งฟังแล้วหรี่ตาเท่าไข่ห่านลง พูดเป็นนัยว่า “ศึกในป่าปีศาจนั่นเป็นการต่อสู้ที่ไม่เลวจริงๆ ถ้าแค่โชคดีแสดงว่าดวงชะตาของซื่อจื่อออกจะดีเกินไปแล้ว…”
หานหลินเฟิงไม่โต้กลับ เพียงพูดอย่างตื้นตัน “คงเป็นเช่นนั้นกระมัง สวรรค์เห็นข้ายังไร้ผู้สืบสกุล ถึงได้เมตตาข้าไม่น้อย!”
เมื่อจ้าวต้งเห็นว่าถามแล้วไม่ได้ความใดก็ไม่ถามต่ออีก
ปกติจ้าวต้งไม่ใช่คนพิรี้พิไรหรือช่างระแวง ดังคำกล่าวที่ว่าคนเสเพลกลับใจ แม้แต่ทองคำก็ไม่อาจแลกได้ ถ้าเป่ยเจิ้นอ๋องซื่อจื่อใฝ่ดีเพราะเหตุนี้ก็สามารถปลอบประโลมดวงวิญญาณของอดีตฮ่องเต้เซิ่งเต๋อไท่หวงบนสวรรค์ได้
ครั้นจ้าวต้งไต่ถามเขาว่าอยากมาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนหรือไม่ หานหลินเฟิงก็ตอบปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
“ข้าเป็นขุนนางค่ายเสบียงจนชินแล้ว ถ้าได้มีส่วนช่วยงานแม่ทัพจ้าวอีกแรง พยายามส่งเสบียงไปให้ถึงที่ก็ถือว่าได้ทำงานรับใช้ท่านแล้ว”
จ้าวต้งก็รู้ว่าหานหลินเฟิงยังไม่มีทายาท จึงไม่ฝืนใจเขาอีก เพียงยื่นมือไปตบไหล่เขาพลางกล่าวว่า “บุรุษเราเกิดมาทั้งทีต้องทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในใต้หล้านี้บ้าง ในเมื่อท่านกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ ตั้งใจสร้างความดีความชอบ รอวันหน้าได้หวนกลับไปราชสำนัก ถ้ามีโอกาสข้าจะต้องทูลฮ่องเต้แน่นอน ไม่ให้ท่านต้องกลบฝังความสามารถของตนเองไว้อีก”
หานหลินเฟิงได้ยินแล้วก็หัวเราะ หากวันหน้าจ้าวต้งแนะนำเขาต่อฮ่องเต้จริงๆ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะต้องกลบฝังความสามารถไว้อีกหรือไม่ แต่ฮ่องเต้ต้องเห็นเขาเป็นหอกข้างแคร่ อยากฝังเขาทั้งเป็นใจจะขาดแน่นอน
เรื่องการยกทัพออกศึกจ้าวต้งทำได้ไร้ที่ติ แต่อีกฝ่ายไม่ใคร่เป็นที่ต้อนรับในหมู่ขุนนางในราชสำนักเรื่อยมา
เพราะราชบุตรเขยจ้าวผู้นี้ขาดความสามารถในการอ่านสถานการณ์และหยั่งใจคนไปสักนิด หากมิใช่ว่าภายหลังเขาแต่งงานกับองค์หญิงอวี๋หยางซึ่งเปรียบได้ดั่งป้ายทองอาญาสิทธิ์ ไม่รู้ว่าจะถูกพวกขุนนางในราชสำนักเล่นงานลับหลังไปกี่ครั้งกี่หน!
ถึงกระนั้นเพราะนิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาของจ้าวต้งนี่เองที่ทำให้หานหลินเฟิงชื่นชม
อย่างไรคนเจ้าเล่ห์ก็มักรู้สึกว่าอยู่ร่วมกับคนซื่อได้ง่ายกว่า