บทที่ 84.2
ตอนย่ำค่ำซูลั่วอวิ๋นได้ยินหานหลินเฟิงเล่าเรื่องนี้แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา “ถ้าท่านรู้สึกว่าอยู่ร่วมกับคนซื่อง่ายกว่า เหตุใดถึงเลือกข้า หรือเห็นว่าข้าเป็นคนซื่อรังแกได้ง่าย?”
หานหลินเฟิงพลิกฝ่ามือนางแล้วจับไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “หาสหายต้องหาคนซื่อ แต่หาภรรยาต้องหาคนเจ้าเล่ห์แสนกล จะได้ไม่มีบุตรโง่งมเป็นโขยง…”
เขาพูดไม่ทันจบก็เงียบเสียงไปทันควัน เพราะคิดไปถึงถุงผ้าปักใต้หมอนใบนั้น
หานหลินเฟิงอดเยาะหยันตนเองไม่ได้ ต่อให้หาภรรยาที่ฉลาดเฉลียวได้ก็ต้องดูว่าสามีมีความสามารถทำให้นางมีบุตรอย่างวางใจได้หรือไม่ หาไม่แล้วกระทั่งบุตรโง่งมก็ยังไม่มีสักคน
ซูลั่วอวิ๋นกำลังฝนหมึกให้เขาอยู่ ในใจนางครุ่นคิดถึงเรื่องที่บิดามารดาสามีขัดใจกันเมื่อยามกลางวัน หาได้ใส่ใจกับคำพูดครึ่งๆ กลางๆ ของหานหลินเฟิงไม่
พอนางฝนหมึกเสร็จแล้วก็เอ่ยปากขึ้น “จริงด้วย องค์หญิงอวี๋หยางอยู่เหลียงโจวมาหลายวันแล้วรู้สึกอึดอัดเบื่อหน่ายจนทนไม่ไหว พอได้ยินว่าวันมะรืนทางฮุ่ยโจวจะมีพิธีบวงสรวงเทพแห่งดิน เป็นงานครึกครื้นมาก นางจึงอยากจะไปเที่ยวที่นั่น ทว่าคงกลัวราชบุตรเขยจ้าวไม่ยินยอม องค์หญิงจึงอยากให้ท่านแม่เป็นฝ่ายชักชวนนางไปด้วยกัน ท่านแม่สนใจไม่น้อยจึงเอ่ยปากกับท่านพ่อ แต่ท่านพ่อกลับตำหนิว่าพวกสตรีมีความคิดอ่านคับแคบ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จะไปฮุ่ยโจวเพื่ออันใด ทว่าท่านแม่ไม่ถอดใจ หาข้ออ้างว่ามีหมอชื่อดังเพิ่งมาถึงฮุ่ยโจว หมอท่านนั้นเชี่ยวชาญการรักษาดวงตา จะให้ข้าไปด้วยให้ได้ ส่วนท่านแม่กับองค์หญิงก็จะมีข้ออ้างไปหาหมอเป็นเพื่อนข้าได้พอดี ข้าตั้งใจจะปฏิเสธก็กลัวล่วงเกินท่านแม่ จึงอยากบอกท่านว่าช่วยปฏิเสธท่านแม่แทนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
หานหลินเฟิงฟังแล้วอยากหัวเราะไม่หยุด นี่เข้าตำราที่ว่ายมบาลบงการผีใหญ่ ผีใหญ่ใช้งานผีน้อยโดยแท้ งานตึงมืองานนี้ถึงถูกโยนต่อกันเป็นทอดๆ จนมาถึงตรงหน้าเขา
ตอนอยู่เมืองหลวงองค์หญิงอวี๋หยางเป็นพวกที่จัดงานเลี้ยงแทบจะวันเว้นวัน จู่ๆ ต้องมาอยู่ในชนบทที่แร้นแค้นอย่างเหลียงโจวจะไม่อึดอัดทรมานไปทั้งเนื้อทั้งตัวหรือ
เขาคิดดูแล้วก็กล่าวว่า “ในเมื่ออยากไปกันก็ไม่จำเป็นต้องหักหน้าพวกนาง ข้าเองก็ต้องไปที่ฮุ่ยโจวอีกเช่นกัน จะได้คุ้มกันพวกเจ้าไปด้วยกันพอดี”
ซูลั่วอวิ๋นกะพริบตาปริบๆ ไต่ถามอย่างสนใจใคร่รู้ “ฮุ่ยโจว? ท่านจะไปที่นั่นเพื่ออันใดเจ้าคะ”
เขากล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่อาจไปรับใช้บ้านเมืองที่ค่ายแนวหน้าของแม่ทัพจ้าวได้ แต่ก็สามารถช่วยงานเขาได้เล็กๆ น้อยๆ อย่างน้อยที่สุดต้องเจาะขุมทรัพย์ของฉิวเจิ้นให้ได้ ข้าดูในสมุดบัญชีที่เฉาเซิ่งให้ข้าไว้แล้วเขียนจดหมายไปหาเขา ผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ในนั้นก็คือโหยวซานเยวี่ย เถ้าแก่ร้านแลกเงินเม่าเสียง”
โหยวซานเยวี่ย? กระทั่งซูลั่วอวิ๋นซึ่งไม่ใช่คนในยุทธภพก็เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้
ว่ากันว่าเถ้าแก่โหยวก่อร่างสร้างตัวจากลู่ทางลัด เมื่อก่อนเขาเป็นผู้กว้างขวางในหมู่โจรป่า มีนิสัยชมชอบการพนันขันต่อเป็นชีวิตจิตใจ เคยเสียพนันหมดเนื้อหมดตัวในชั่วราตรีเดียวแล้วอาศัยเงินไม่กี่อีแปะชนะพนันได้เงินคืนกลับมาทั้งหมดในตอนท้ายจนกลายเป็นเรื่องเล่าขาน
ต่อมาพอเขาแต่งงานมีบุตรก็ล้างมือในอ่างทองคำ เปิดร้านแลกเงินตามที่ต่างๆ นอกจากร้านแลกเงินแล้วเขายังมีกิจการการค้ามากมายอยู่ทุกหนแห่ง เป็นคนที่มั่งคั่งร่ำรวยล้นฟ้าโดยแท้ แต่เขาเร้นกายอยู่อย่างสันโดษมาแต่ไหนแต่ไร ถึงขั้นที่มีเสียงเล่าลือหนาหูในหมู่ชาวบ้านว่าคนผู้นี้ตายไปแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นหนึ่งในคหบดีที่ให้การสนับสนุนเฉาเซิ่งอยู่ลับๆ
หานหลินเฟิงเล่าสิ่งที่เขาได้รู้จากเฉาเซิ่งออกมาอย่างละเอียด
ถึงแม้จะมีคหบดีที่ช่วยเหลือเกื้อหนุนเฉาเซิ่งมากมาย ทว่าในบรรดานั้นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือโหยวซานเยวี่ยคนนี้
ดังคำกล่าวที่ว่าไม้ใหญ่ปะทะลม ในอดีตเขามีศัตรูในยุทธภพไม่น้อย บัดนี้พอมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ก็ใช้ชีวิตอย่างสันโดษสมถะเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ผู้ดูแลร้านแลกเงินใหญ่ๆ ของเขายังบอกไม่ได้ว่านายใหญ่พำนักอยู่ที่ใด มิหนำซ้ำยังมีข่าวลือว่าคนผู้นี้เสียชีวิตไปแล้ว
แต่หานหลินเฟิงที่ได้รับคำชี้แนะจากเฉาเซิ่งกลับล่วงรู้ว่าโหยวซานเยวี่ยจะไปตรวจบัญชีและตกปลาตามสบายที่ฮุ่ยโจวช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ ในกาลก่อนเฉาเซิ่งจะพบปะเขาในช่วงนี้เสมอ
ครั้งนี้หานหลินเฟิงจึงตัดสินใจไปเยี่ยมคารวะแทนเฉาเซิ่ง และถือโอกาสพูดโน้มน้าวใจผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของฉิวเจิ้นสักหน่อย