ฮุ่ยโจวอยู่ห่างจากเหลียงโจวไม่นับว่าไกล ใช้เวลาเดินทางราวสองวัน แต่ที่นั่นเจริญรุ่งเรืองอย่างที่เหลียงโจวไม่อาจเทียบได้
ทว่าเป้าหมายของหานหลินเฟิงหาใช่ท้องถนนอันคึกคักเฟื่องฟูของที่นี่
เพราะหานหลินเฟิงมาด้วยกัน ซูลั่วอวิ๋นจึงมีข้ออ้างไม่ต้องร่วมเดินทางไปกับพวกองค์หญิงอวี๋หยาง
เมื่อไปถึงฮุ่ยโจว องค์หญิงอวี๋หยางกับชายาเป่ยเจิ้นอ๋องล้วนเป็นดั่งปลาได้น้ำ พวกนางตอบรับคำเชิญต่างๆ ของพวกสตรีเรือนใน ทั้งยังไปเที่ยวชมสวนบุปผาของพวกขุนนาง และเดินดูร้านรวงเลือกซื้อสิ่งของ
ซูลั่วอวิ๋นไม่คิดจะเข้าไปร่วมวงจนขัดความสำราญในการเที่ยวเล่นของมารดาสามี นางจึงไปเยี่ยมคารวะเถ้าแก่โหยวกับหานหลินเฟิง
หานหลินเฟิงพานางไปที่ร้านแลกเงินเม่าเสียงในเมืองก่อน เอาตั๋วเงินที่เฉาเซิ่งสอดเก็บไว้ในสมุดบัญชีไปขึ้นเงินและถือโอกาสบอกกับผู้ดูแลร้านว่าตนเองเป็นสหายเก่าของเถ้าแก่โหยว อยากจะพบเขาสักครา
ผู้ดูแลร้านคนนั้นก้มหน้ามองตั๋วเงินมูลค่าสูงซ้ำๆ ก็รู้แจ้งแก่ใจว่านี่คือลูกค้ารายใหญ่ของร้านแลกเงิน เขานำตั๋วเงินเข้าไปข้างในครู่หนึ่ง
ไม่ถึงครู่ใหญ่ผู้ดูแลร้านก็ออกมาบอกด้วยสีหน้าขอลุแก่โทษ “ต้องขออภัยจริงๆ ขอรับ นายใหญ่แทบจะไม่ได้มาที่ร้าน พวกข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด แล้วตั๋วเงินนี้จะขึ้นเงินทั้งหมดเลยใช่หรือไม่ขอรับ”
หานหลินเฟิงไม่กล่าวอะไรต่อ เพียงรับตั๋วเงินคืนมาแล้วบอกว่ายังไม่ขึ้นเงินตอนนี้ หลังจากเก็บเข้าที่อย่างเรียบร้อยก็พาซูลั่วอวิ๋นเดินออกนอกประตูร้าน
เขาก้มหน้าถามนาง “เจ้าเห็นว่าผู้ดูแลร้านคนนั้นเป็นอย่างไร”
ซูลั่วอวิ๋นนิ่งคิดไปอึดใจหนึ่ง “ร้านแลกเงินเม่าเสียงฟุ่มเฟือยเสียจริง เครื่องหอมที่จุดในร้านล้วนมีกลิ่นหอมละเมียดละไมอย่างยิ่ง ตามความเห็นข้าต้องเป็นกำยานเหยาจู้ราคาสามสิบตำลึงไม่ผิดแน่”
หานหลินเฟิงบีบแก้มนางเบาๆ ทีหนึ่ง “ใครถามเจ้าเรื่องนี้กัน สมแล้วที่เป็นเจ้าของร้านเครื่องหอม ไปถึงที่ใดล้วนสนใจเครื่องหอมเป็นอย่างแรก”
ซูลั่วอวิ๋นจึงวกกลับเข้าเรื่อง “ผู้ดูแลร้านคนนั้นเข้าไปข้างในก่อนถึงค่อยออกมาบอกว่านายใหญ่ไม่อยู่ ต้องมีพิรุธแน่ แต่เถ้าแก่โหยวผู้นั้นไม่เต็มใจพบท่าน จะบุกเข้าไปก็ไม่ได้กระมัง!”
เขาพยักหน้าแล้วพานางไปซื้อหาพวกขนมของว่างฝากน้องสาว ทั้งยังซื้อแท่นฝนหมึกชั้นดีให้น้องชายอันหนึ่ง จากนั้นพานางนั่งรถม้าไปที่ทะเลสาบเงียบสงบแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับฮุ่ยโจว
หานหลินเฟิงยืนอยู่ฝั่งหนึ่งในศาลาริมน้ำ มองดูทะเลสาบที่ส่องประกายระยิบระยับพลางบอกว่า “ที่นี่เรียกว่าทะเลสาบจิ้งหู เป็นแหล่งที่ปลามีเกล็ดชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ชุกชุม มีก้างน้อย ต้มครู่เดียวก็เปื่อยนุ่ม น่าเสียดายที่จับได้ยาก ถ้าจะใช้แหจับ มันก็ว่ายน้ำหนีได้เร็วมาก ประเดี๋ยวเดียวก็ดำลงไปอยู่ในโคลนก้นทะเลสาบแล้ว ดังนั้นมีทางเดียวก็คือใช้วิธีตกเบ็ด แต่เบ็ดต้องทั้งเล็กและเรียว จังหวะยกคันเบ็ดก็ต้องแม่นยำด้วย”
แม้ว่านางจะมองเห็นไม่กระจ่างชัด แต่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอบอุ่นของวสันตฤดูลอยอวลอยู่เหนือผิวน้ำที่เป็นประกายระยิบระยับ ถึงไม่เห็นชัดเจนก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเหลือหลาย
นางได้ยินคำกล่าวของเขาแล้วก็เอียงคอน้อยๆ “ตกได้ยากเพียงนี้ มิสู้ไม่กินดีกว่าเจ้าค่ะ…”
หานหลินเฟิงกล่าวยิ้มๆ “ข้าได้รู้มาจากเฉาเซิ่งว่าบุตรชายผู้เป็นดั่งดวงใจของโหยวซานเยวี่ยมีอาการแพ้ปลามาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถกินปลาได้ แต่กลับกินปลาชนิดนี้ได้ หากมีเวลาว่างโหยวซานเยวี่ยจะมาตกปลาที่นี่ให้บุตรชายด้วยตนเอง”
ขณะกล่าววาจาเขากวาดตามองคนที่ตกปลาอยู่ริมทะเลสาบอย่างละเอียดถี่ถ้วนคราหนึ่ง
ตามคำบรรยายของเฉาเซิ่ง นิ้วก้อยขวาของโหยวซานเยวี่ยกุดด้วน อีกทั้งมีองครักษ์บ่าวไพร่รอบกายมากมาย แต่บรรดาผู้ที่ตกปลาอยู่ริมทะเลสาบขณะนี้มีลักษณะท่าทางเป็นชาวนา ไม่มีคหบดีนายท่านอะไรสักคน