ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 84.1-84.2
ชิ่งหยางพาคนไปสำรวจดูรอบๆ ก็ไม่พบคนที่ละม้ายคล้ายคลึงกับโหยวซานเยวี่ย ดูท่าวันนี้เขาจะมาเสียเที่ยวเสียแล้ว
เดิมทีหานหลินเฟิงก็ไม่คิดว่าจะได้พบโหยวซานเยวี่ยทันทีทันใด เพียงพาซูลั่วอวิ๋นมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่เท่านั้นเอง
หลังกลับถึงเหลียงโจวเขาก็ยุ่งวุ่นวายกับงานของทางการมาโดยตลอด ไม่ได้ปลีกเวลาพานางไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติตามสบายสักนิด
ต่อจากนี้ที่รออยู่เบื้องหน้ายังเป็นศึกหนัก ฉะนั้นเขาอยากฉวยเวลาที่สุขสงบอย่างหาได้ยากนี้อยู่เป็นเพื่อนนางอย่างเต็มที่
ยามนี้สายลมอ่อนเบาอุ่นสบายพัดโชยมาระลอกหนึ่ง เขาก้มหน้ามองภรรยาคนงามในชุดฤดูใบไม้ผลิ นางมีผิวพรรณขาวผ่อง เรือนผมสลวยถูกรวบขึ้นเป็นมวยหลวมๆ อวดเรียวคอขาวเกลี้ยงและไหปลาร้าที่โผล่พ้นอาภรณ์บางเบากับผ้าคลุมไหล่เนื้อโปร่งบาง หญิงงามร่างระหงอ้อนแอ้นเช่นนี้ยืนอยู่ริมผืนน้ำกลางวสันตฤดู แลดูสง่าแช่มช้อยโดยแท้
แม้ซูลั่วอวิ๋นในกาลก่อนจะมีนัยน์ตางดงาม แต่กลับไร้แววขาดชีวิตชีวาไปสักนิดเพราะอาการตาบอด
ทว่าบัดนี้ดวงตาของนางเริ่มฟื้นฟูขึ้นทีละน้อย ถึงจะยังเห็นภาพไม่ชัด แต่ยามดวงตาคู่นั้นกลอกไปมาจะเผยเสน่ห์มากขึ้นคล้ายกำลังชม้ายชายตาเย้ายวนใจ
สตรีรูปลักษณ์เช่นนี้มองนานเท่าไรก็ไม่สาแก่ใจจริงๆ ช่วงนี้หานหลินเฟิงมักคิดคำนึงอยู่บ่อยครั้งว่าถ้าหากวันหน้านางมีบุตรสาวให้ตนเอง ดวงหน้ากลมๆ เล็กๆ กับดวงตาโตๆ ที่ดูคล้ายอาอวิ๋นนั้นจะน่ารักน่าเอ็นดูปานใด…
เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดเรื่องทายาทมาก่อน ทว่าตั้งแต่รู้ว่าซูลั่วอวิ๋นไม่คิดจะมีบุตรให้เขา เขากลับเฝ้าคิดว่าบุตรของเขากับนางจะมีรูปโฉมเป็นเช่นไรอย่างห้ามไม่อยู่
…หลังจากสงครามยุติลง เขาจะจับเข่าพูดคุยเรื่องนี้กับนางอย่างเปิดอก…
เวลานี้ฝนเริ่มตกปรอยๆ แล้ว หานหลินเฟิงกลัวนางจะต้องลมเย็น จึงตั้งใจจะพานางไปขึ้นรถม้า
จังหวะนี้เองซูลั่วอวิ๋นกลับทำจมูกฟุดฟิดอย่างห้ามไม่อยู่ “ใครกันใช้อำพันทะเล ในที่ห่างไกลเช่นนี้ยังมีคนพิถีพิถันเพียงนี้เชียวหรือ”
อำพันทะเลแค่ชิ้นเล็กๆ ก็มีราคานับร้อยชั่ง อีกทั้งเป็นเครื่องราชบรรณาการของราชสำนัก สามัญชนไม่อาจมีไว้ในครอบครอง ตอนนั้นองค์หญิงอวี๋หยางก็มีชิ้นหนึ่ง ทว่าเก็บรักษาไม่ดีจนเสียหาย เพราะรู้สึกเสียดายจึงเรียกนางไปคิดหาวิธีแก้ไขโดยเฉพาะ
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าแม้กระทั่งในสายตาขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ทรงเกียรติ วัตถุดิบในการปรุงเครื่องหอมชนิดนี้ก็นับเป็นของล้ำค่าอย่างมาก
แต่ ณ ริมทะเลสาบในเมืองชนบทแห่งนี้ ซูลั่วอวิ๋นกลับได้กลิ่นอำพันทะเลจางๆ แทรกอยู่ในกลิ่นดินลอยมาตามลม เป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกแปลกใจ
หานหลินเฟิงได้ยินคำกล่าวของนางแล้วก็หรี่ตาเล็กน้อย มองไปทางต้นลม ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นชายชราร่างผอมแห้งผู้หนึ่งนั่งอยู่คนเดียวใต้ร่มไม้มุมหนึ่ง
อีกฝ่ายน่าจะเพิ่งมาถึง เพราะเมื่อครู่เขาไม่เห็นมีคนอยู่ตรงนั้น
ชายชราที่ตกปลาตามลำพังคนนี้เห็นฝนตกลงมาจากฟ้าก็ไม่เร่งรีบหาที่หลบ แค่หยิบเสื้อฟางกับงอบกันฝนที่แขวนไว้บนกิ่งไม้ด้านข้างมาสวมแล้วตกปลาต่อไปอย่างสบายอารมณ์
หานหลินเฟิงเพ่งมองชายชราผู้นั้น ไม่นานนักก็สังเกตเห็นนิ้วก้อยขวาของอีกฝ่าย…ขาดไปครึ่งหนึ่ง
เขารับร่มกระดาษเคลือบน้ำมันที่สาวใช้ยื่นส่งให้มากางให้ซูลั่วอวิ๋น จูงมือนางเดินไปหาชายชราร่างผอมแห้งผู้นั้น
น่าเสียดายที่ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ จู่ๆ ก็มีบุรุษฉกรรจ์ร่างใหญ่กำยำห้าหกคนออกมาจากทางใดก็สุดรู้ ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าชายชราผู้นั้น
ถึงตอนนี้ในใจหานหลินเฟิงก็คาดเดาได้รางๆ แล้ว เขาเพียงประสานมือคารวะพร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสแซ่โหยวใช่หรือไม่”
ชายชราเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองสำรวจบุรุษสตรีรูปโฉมโนมพรรณโดดเด่นคู่นี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ดังคำกล่าวที่ว่าสง่าราศีนั้นต้องบ่มเพาะแต่วัยเยาว์ บุรุษผู้นั้นไม่เพียงรูปโฉมหล่อเหลา ยังแฝงไว้ด้วยสง่าราศีโดยเนื้อแท้ซึ่งแทบจะปิดบังไว้ไม่ได้ น่าจะมีชาติกำเนิดไม่สามัญ ไม่คล้ายเป็นบุตรหลานชาวยุทธภพที่มาล้างแค้น
ดังนั้นชายชราจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “พวกท่านมาหาคนแซ่โหยวมีธุระใดหรือ”
ถึงเขาไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
หานหลินเฟิงมองเห็นชายชราในระยะใกล้ก็พิศดูลักษณะท่าทางของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ต่างจากคำบรรยายของเฉาเซิ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
“ข้าเป็นสหายสนิทของท่านเฉา ได้รับไหว้วานจากเขาให้มาหาท่านผู้อาวุโสโหยวที่นี่”
ชายชราหัวเราะ “ทั่วทั้งใต้หล้ามีท่านเฉาอยู่มากมาย ทว่าในช่วงเวลานี้ท่านเฉาที่มาหาท่านโหยวที่นี่ได้น่าจะมีอยู่คนเดียว…แต่ข้าได้ยินว่าเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านได้รับไหว้วานจากผีเร่ร่อนถึงได้มาที่นี่หรือ”
หานหลินเฟิงล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ขอให้องครักษ์ด้านข้างยื่นส่งให้ชายชรา จดหมายนี้เฉาเซิ่งเป็นผู้เขียน ในนั้นบอกเล่าถึงสถานการณ์ของตนเอง ตลอดจนพฤติกรรมจอมปลอมแอบอ้างชื่อผู้อื่นของฉิวเจิ้น รวมถึงการหักหลังของบุตรสาวอกตัญญู เขาหวังว่าท่านผู้อาวุโสและคหบดีผู้มีน้ำใจกว้างขวางท่านอื่นๆ จะไม่ถูกฉิวเจิ้นปิดหูปิดตาต่อไป อีกทั้งอย่าสนับสนุนอีกฝ่ายอีก
ชายชราผู้นี้มิได้ยื่นมือไปรับจดหมาย แค่กวาดตาอ่านเนื้อความจดหมายในมือองครักษ์ผ่านๆ จากนั้นก็เบนสายตาออกอย่างไม่สนใจแล้วกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“เห็นทีว่าท่านเฉาที่ท่านรู้จักหาใช่คนเดียวกับท่านเฉาที่ข้ารู้จักไม่ แล้วข้าก็ไม่รู้จักโหยวซานเยวี่ยอะไรนี่ เชิญคุณชายกลับไปเถิด”
เริ่มแรกเขายังไม่มีท่าทีไม่ยอมรับ ไม่รู้ด้วยว่าด้วยเหตุผลกลใดพออ่านจดหมายแล้วก็พลันเปลี่ยนคำพูด
ซูลั่วอวิ๋นกลับส่งเสียงเอ่ย “เมื่อครู่สามีข้าเพียงบอกว่ามาเยี่ยมท่านผู้อาวุโสโหยว มิได้บอกชื่อเสียงเรียงนาม หากท่านไม่ใช่เขา เหตุใดจึงสามารถเอ่ยชื่อ ‘โหยวซานเยวี่ย’ นี้ออกมาได้เจ้าคะ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ธันวาคม 2567)