ถึงปกติจะไม่ใคร่ออกจากเรือนสักเท่าใด แต่นางกลับได้ยินเรื่องราวของคุณหนูบ้านต่างๆ อยู่เป็นประจำ รู้ดีว่าหลานสาวคนที่สองผู้นี้เป็นคนซื่อ หาได้เหมือนกับเฉินหานไม่
“เด็กดี น่าสงสารจริงๆ หลายวันนี้เล่าเรียนเขียนอ่านอยู่ในบ้านคงลำบากไม่ใช่น้อย ดูสิใบหน้าเล็กๆ ของเจ้าซูบผอมลงอีกแล้ว” หลี่ซื่อบีบไหล่ของเฉินเซียง น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ “ไม่ต้องกลัว มีป้าอยู่ พวกเจ้าสองคนก็เหมือนกับเจ้าสาม ล้วนแต่เป็นเด็กดีของป้า”
คำพูดนี้ออกมาจากใจจริงของนาง หาได้เสแสร้งแกล้งทำไม่ พอเฉินเซียงได้ยินเช่นนั้นก็อดหวั่นไหวไม่ได้ สองตาพลันแดงระเรื่อ แม้แต่ใบหน้าแขวนประดับไว้ด้วยรอยยิ้มของเฉินหานก็ยังฉายแววตกตะลึงยากจะพบเห็นขึ้นมาเล็กๆ
“พวกเจ้าสองคนทำใจสบายๆ ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี ไว้ผ่านไปสักระยะ ป้าจะเขียนจดหมายไปบอกท่านย่าของพวกเจ้า นางเป็นคนมีเมตตากรุณา หนำซ้ำยังใจอ่อน เชื่อว่าถึงตอนนั้นต้องเรียกพวกเจ้ากลับเมืองหลวงแน่” หลี่ซื่อกล่าวขึ้นอีก ถ้อยวาจาอบอุ่นอ่อนโยนเป็นที่สุด ทุกประโยคล้วนสัมผัสถึงใจคน
ครานี้แม้แต่เฉินหานก็ยังตาแดงตามไปด้วย ที่พวกนางสองพี่น้องต้องมาจี่หนาน ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยเพราะนางเป็นเหตุ เฉินเซียงแค่เพราะบังเอิญอยู่ที่นั่นด้วยถึงได้ถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษด้วยอีกคน
เทียบกับเมืองหลวงที่คึกคักรุ่งเรือง เปิดรับค่านิยมใหม่ๆ แล้ว จี่หนานนี้เรียกได้ว่าอยู่ลำบากไม่ใช่น้อย เฉินหานหมายใจอยากกลับจวนกั๋วกงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามนี้หลี่ซื่อเอ่ยปากบอกว่าจะช่วยขอความเมตตากับฮูหยินผู้เฒ่าให้ นางย่อมรู้สึกหวั่นไหว
เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ พี่น้องสองคนนี้ก็ถูกหลี่ซื่อกล่อมจนอยู่หมัด เห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็อดนึกเลื่อมใสศรัทธาผู้เป็นมารดาไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจโล่งอก
มีหลี่ซื่ออยู่ ไม่ว่าจะสถานการณ์เช่นไรนางก็น่าจะสามารถจัดการกับมันได้ วันเวลาในภายภาคหน้าน่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายสักเท่าใดนัก
และก็เป็นจริงอย่างที่เฉินอิ๋งคาด หลังจากนั้นเฉินหานก็สงบนิ่งลงเป็นอันมาก ทุกคนแม้จะอยู่ในเรือนเดียวกัน แต่กลับไม่มีเหตุทะเลาะวิวาทอันใด
เรื่องเฉินอิ๋งคลี่คลายคดีกู่ต้าฝูสังหารคนนั้น หลี่เหิงได้เล่าเรื่องนี้ให้หลี่ซื่อทราบแล้ว ทว่านอกเหนือจากความรู้สึกภาคภูมิใจ หลี่ซื่อยังคงรู้สึกวิตกกังวลไม่คลาย ประจวบกับช่วงนี้ใกล้ถึงช่วงสิ้นปีแล้ว ดังนั้นหลี่ซื่อจึงยิ่งหาเหตุผลรั้งตัวเฉินอิ๋งไว้ในเรือน สั่งนางคัดคัมภีร์บ้างทำงานเย็บปักถักร้อยบ้างเป็นครั้งคราว เฉินอิ๋งจนปัญญาจะปฏิเสธจึงได้แต่จำใจรับคำ
หลี่ซื่อยามนี้แม้จะไม่ต้องยุ่งวุ่นวายเรื่องดูแลบ้านช่อง ทว่าหนีซื่อก็ยังคงชอบเอางานบ้านต่างๆ มาปรึกษากับนางอยู่เป็นประจำ บางครั้งเฉินอิ๋งก็คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ งานนี้เรียกได้ว่าพอช่วยเติมรสชาติให้กับเวลาว่างอันแสนจะน่าเบื่อได้อยู่เล็กๆ
ว่ากันตามหลักแล้ว เดิมเฉินอิ๋งควรได้เรียนหนังสือเฉกเดียวกับเฉินเซียงและเฉินหานอยู่ที่สำนักศึกษาสตรีสกุลหลี่ เพียงแต่เพราะผลการเรียนของคุณหนูสามแต่ไหนแต่ไรก็ ‘ไม่น่าปลาบปลื้ม’ สักเท่าใดนัก ด้วยเหตุที่อาจารย์สตรีเหล่านั้นรู้สึกว่า ‘ระดับของนางย่ำแย่’ จึงไม่มีผู้ใดยินดีสอนสั่ง
แต่ไหนแต่ไรสกุลหลี่ก็เคารพอาจารย์ให้ความสำคัญกับการศึกษา ดังนั้นจึงไม่มีการบังคับอาจารย์ให้รับศิษย์ ด้วยเหตุนี้เฉินอิ๋งที่ความจริงเพียงไม่ถนัดกับทักษะในยุคสมัยนี้จึงกลายเป็นคนที่ว่างที่สุด หลี่ซีนึกอิจฉาอีกฝ่ายอย่างยิ่งยวด ส่วนเฉินหานแม้ไม่ได้เยาะเย้ยถากถางอันใด แต่ก็มีบ้างที่มองมาด้วยสายตาดูแคลน เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกว่าพี่สามของนางผู้นี้ไม่เอาไหนเลยจริงๆ
หลังหิมะน้อยๆ ผ่านพ้น อากาศก็เริ่มหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้นเพราะใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวอยู่ที่จี่หนานเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก มักเรียกพวกเด็กรุ่นหลังทั้งหลายไปชมดอกเหมยในสวน ร่ายบทกวี ไม่ก็ไปทายปริศนาอยู่ในเรือนอุ่น แน่นอนว่าการละเล่นพวกนี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมดูแล ไม่ได้ปล่อยให้เหล่าคุณหนูทั้งหลายดื่มสุราแสวงหาความสำราญตามอำเภอใจ แม้จะสนุกสนานแต่ก็มิได้ถึงขนาดไร้ขอบเขต
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่นิสัยรักสนุกของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ยังทำให้เฉินอิ๋งได้เปิดโลกทัศน์ เทียบกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนกั๋วกงที่เคร่งขรึมเฉยชาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นับว่าสนิทสนมได้ง่ายกว่ากันมาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.