บทที่ 225 ออกจากห้องหับสตรี
เผยซู่กวาดตามองไป เห็นถุงหอมตัดเย็บขึ้นจากผ้าไหมชั้นดี เชือกมัดสีชมพูเข้มงดงามจับตา แค่ดูก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใช้ของอิสตรี
รอยยิ้มบนริมฝีปากของเผยซู่แฝงไว้ซึ่งความหมายลึกล้ำ “คุณชายสามคงมิใช่ต้องการมอบอุบายแยบยลในถุงไหม* ให้ข้ากระมัง”
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเอ่ยวาจาล้อเล่นอยู่ เฉินอิ๋งอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ท่านโหวน้อยกล่าวผิดแล้ว นี่หาใช่อุบายแยบยลในถุงไหมไม่ หากจะกล่าวให้ถูกก็น่าจะกล่าวว่าเป็น ‘เรื่องยุ่งยากในถุงไหม’ มากกว่า ทว่า…” จู่ๆ นางก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นหนักแน่นมากยิ่งขึ้น “นอกจากท่านโหวน้อยแล้ว ข้าก็นึกไม่ออกว่าจะยังมีผู้ใดช่วยข้าได้”
นางพูดพลางขยับมือปลดเชือกที่มัดถุงหอมออก หยิบเอากระดาษที่ถูกพับไว้หลายต่อหลายทบแผ่นหนึ่งออกมา คลี่มันออกทีละชั้นๆ และกางมันลงบนโต๊ะต่อหน้าเผยซู่
เผยซู่ตะลึงงันไปเล็กน้อย เขาหลุบตามองดูกระดาษที่ใหญ่ขึ้นตรงหน้า
นั่นคือภาพวาดแผ่นหนึ่ง
ครั้นกางออกเป็นที่เรียบร้อยเขาก็สังเกตเห็นว่าด้านบนสุดของกระดาษมีอักษรตัวบรรจงเขียนไว้แถวหนึ่ง ‘สำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงกับสถานพำนักเด็กและสตรี’
ความรู้สึกประหลาดใจภายในดวงตาชั้นเดียวของเผยซู่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
“สิ่งที่ข้าจะกล่าวต่อจากนี้ไปอาจทำให้ท่านโหวน้อยรู้สึกไม่สบายใจ” เส้นเสียงใสกระจ่างที่ดังอยู่นั้นเป็นเสียงที่เขาได้ยินจนคุ้นหู เย็นยะเยือกดั่งสายธาร สะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ “ทว่ายามนี้ท่านโหวน้อยเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะผลักดันเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ต้องพูดต่อไป”
เสียงของเฉินอิ๋งหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับทบทวนเรื่องที่กำลังจะพูดให้ถ้วนถี่ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานเสียงของนางก็ดังขึ้นอีกคราว “ท่านโหวน้อยน่าจะจำได้ ตอนอยู่ที่หอชุมนุมซื่ออี๋ครั้งนั้น ข้าเคยบอกกับท่านว่าข้ามีเรื่องที่ต้องการทำอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นไปได้ว่าอาจต้องการความช่วยเหลือจากท่านโหวน้อย ยามนี้เรื่องนั้นปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านโหวน้อยแล้ว และข้าก็หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะเรื่องนี้หากอาศัยกำลังของข้าเพียงผู้เดียวคงยากจะสำเร็จลุล่วงได้ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทางการ…ขุนนางราชสำนัก หรือจะพูดอีกอย่างก็คือข้าต้องการคนที่มีฐานะอย่างท่านโหวน้อย และเป็นที่น่าเชื่อถือไว้วางใจช่วยประสานงาน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็เงยหน้าขึ้น จ้องตาเผยซู่ตรงๆ พลางกล่าว “ภาพร่างนี้เป็นความปรารถนาของข้า ข้าหวังว่ายามข้ามีชีวิตอยู่จะสามารถสร้างสำนักศึกษาและสถานพำนักเช่นนี้ได้ทั่วแผ่นดินต้าฉู่ ช่วยให้สตรีบนแผ่นดินต้าฉู่ที่ถูกคนในครอบครัวทอดทิ้ง ถูกผู้คนทั่วหล้าประณามได้มีที่ไป ให้เด็กน้อยที่มีฐานะชาติกำเนิดต่ำต้อย ยากจนเจ็บป่วย สามารถใช้ชีวิตในวัยเยาว์ได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป”
พึ่บๆ
สายลมเย็นเยียบแห่งฤดูหนาวโถมกระหน่ำใส่ม่านผ้าดิ้น ระคนอยู่กับกลิ่นหอมจางๆ ของดอกเหมย ละอองหิมะเล็กละเอียดสาดซัดอยู่กับผ้าม่านก่อนจะถูกไออุ่นภายในห้องละลายกลายเป็นหยดน้ำหล่นร่วงลงบนบันไดหิน
เดือนสิบรัชศกหยวนจยาปีที่สิบห้า ช่วงหิมะแรกในฤดูหนาวของจี่หนานผ่านผันไปอย่างรวดเร็วในช่วงบ่ายของวันที่แลดูเหมือนไม่มีอันใดผิดปกติ
เผยซู่มองดูภาพร่างบนโต๊ะนิ่ง บนใบหน้าที่คล้ายโกรธขึ้งสามส่วนยินดีปรีดาสามส่วนอยู่ตลอดเวลานั้นจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งยวด
ทันใดนั้นความทรงจำที่ถูกผนึกปิดไว้เนิ่นนาน เรื่องราวในอดีตที่เขาพยายามลืมเลือนแต่กลับฝังลึกอยู่ในสมองพวกนั้นก็พากันทะลักล้นออกมาอย่างรวดเร็วและกลืนกินเขาไปจนสิ้น
มือที่วางอยู่บนเข่าของเขากุมเข้าหากันแน่น แผ่นหลังเหยียดตรง ท่าทางราวกับถูกคำพูดของเฉินอิ๋งเล่นงานเข้ากลางใจ ขณะเดียวกันก็แลดูคล้ายทึ่มทื่อหมดสิ้น
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เผยซู่ก็ชักสายตาจากภาพร่างดังกล่าวกลับอย่างยากลำบาก มองไปทางดรุณีน้อยที่นั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้า
“คุณหนูสาม…คุณชายสาม เรื่องใหญ่ที่ท่านต้องการทำก็คือ…เรื่องนี้?” น้ำเสียงของเขาแห้งผากแหบพร่า ลำคอเจ็บปวดเหมือนถูกไฟเผา
เฉินอิ๋งพยักหน้า “ใช่ ขอบอกกับท่านโหวน้อยตามตรง เป้าหมายของการสร้างสำนักศึกษากับสถานพำนักของข้าก็คือต้องการให้สตรีเหล่านั้นมีหนทางเอาตัวรอด ไม่ให้พวกนางเอาชีวิตไปทิ้งกับคำว่าชื่อเสียงไร้สาระพวกนั้น” น้ำเสียงของนางเหมือนจะดังขึ้นกว่าเก่าเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันก็คล้ายเพราะบรรยากาศเงียบสงัดภายในห้องทำให้มันฟังดูกระจ่างชัด