“ข้าอยากให้คนบนโลกนี้ไม่เห็นสตรีเป็นเหมือนดั่งข้าวของ หรือเห็นพวกนางเป็นดั่งส่วนประกอบที่จะมีหรือไม่ก็ได้ และยิ่งปรารถนาให้สตรีทั่วหล้านับแต่นี้สามารถหยัดยืน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกบุรุษอีกต่อไป แต่สามารถยืนอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ด้วยลำแข้งของตนเอง”
นางพูดคำพูดพวกนี้ออกมาอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกอยากตะโกนก้องจู่ๆ ก็คล้ายอัดแน่นอยู่ในใจนาง ทำเอาทุกขุมขนทั่วร่างสั่นสะท้าน เสียงหึ่งแผ่วเบาดังก้องอยู่ในหู
“คำพูดพวกนี้บางทีท่านโหวน้อยอาจรู้สึกระคายหู แต่ข้ากลับรู้สึกว่าสิ่งที่โลกนี้กระทำต่อสตรีนั้น…อยุติธรรมยิ่งนัก”
ภายในห้องเงียบสงัด คำพูดมากมายยังคงหลุดออกมาจากลำคอนางอย่างไม่อาจควบคุม
“โลกนี้ทารุณโหดร้ายต่อสตรียิ่งนัก ถึงขนาดพันธนาการทุกการเคลื่อนไหวของพวกนาง กักขังพวกนางไว้ในเรือนหลังกว้างใหญ่ไม่เกินร้อยก้าวตลอดชีวิต แค่จะย่างก้าวออกไปเพียงก้าวก็ยังยากลำบาก ทารุณโหดร้ายถึงขนาดแค่วาจาไร้เหตุผลยิ่งยวดอันใดก็ล้วนทำลายชีวิตของพวกนางได้อย่างง่ายดาย”
เฉินอิ๋งหอบหายใจรุนแรง ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกยังคงทำให้นางรู้สึกเป็นทุกข์ จู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก จำต้องหยุดพักครู่หนึ่ง ออกแรงสูดหายใจเข้าลึกๆ เอาอากาศที่ระคนด้วยกลิ่นถ่านแฝงอยู่กับกลิ่นหิมะกลิ่นดอกเหมยนอกม่านเข้าปอด
เฉินอิ๋งหลับตาลงน้อยๆ รับรู้ถึงสภาพอากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของฤดูหนาว อารมณ์เริ่มสงบลงทีละน้อย
หลังจากผ่านไปสามอึดใจ ครั้นนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง เฉินอิ๋งที่สงบนิ่งคนเดิมก็กลับมาอีกคราว
“ขอท่านโหวน้อยอย่าได้ถือสา ข้าพูดมากเกินไปแล้ว” นางยิ้มขออภัยต่อเผยซู่ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นคล้ายฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเย้ยหยันลึกล้ำ “พูดตามตรง ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงนี้ไร้สาระยิ่งนัก”
นางยิ้มโล่งอกคล้ายได้โยนภาระหนาหนักอะไรบางอย่างทิ้ง
นี่คือคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจนางเนิ่นนาน
ชื่อเสียง ช่างไร้สาระยิ่งนัก!
โดยเฉพาะโทษฐาน ‘เสื่อมเสียชื่อเสียง’ อันเกิดจากการถูกใส่ไคล้ปรักปรำด้วยเหตุผลน่าขำของสังคมปิตาธิปไตยพวกนั้น ช่างเป็นเรื่องโง่งมโดยแท้
หัวคิ้วของเผยซู่กระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ที่จะได้ยินวาจาติดปากของเหล่าสตรีในยุทธภพเล็ดลอดออกจากปากของสตรีชั้นสูงเช่นนี้
ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ตอนได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาถึงรู้สึกเหมือนหินก้อนใหญ่ที่ทาบทับอยู่ในใจเขาขยับไหว ทำให้เขารู้สึกหายใจโปร่งโล่งขึ้น
“ข้ารู้ เรื่องที่ข้าต้องการทำนี้ยาก ยากอย่างยิ่งยวด ยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์” เฉินอิ๋งยังคงพูดต่อ อารมณ์หยันเย้ยบนหว่างคิ้วเป็นถากถางตนเอง “ท่านโหวน้อยอาจนึกขำที่ข้าไม่รู้จักประเมินตน ทว่าข้าอยากลองดูสักครั้ง อยากเดินออกจากห้องหับลึกแคบของอิสตรีนั่น อยากดูซิว่าข้าจะเดินไปได้ไกลสักเท่าใด ความคิดนี้โถมกระหน่ำรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ข้ารู้สึกว่าหากข้าไม่ลงมือทำอันใด ข้าคงไม่แคล้วต้องนึกเสียใจไปตลอดชีวิต”
* กาน้ำชาหรู่เหยา เป็นเครื่องปั้นดินเผาจีนที่มีชื่อเสียงและหายากมากจากราชวงศ์ซ่ง ซึ่งผลิตให้กับราชสำนักในช่วงเวลาสั้นๆ ส่วนใหญ่มีสีฟ้าซีดๆ เหมือนสีฟ้าของท้องฟ้าท่ามกลางเมฆหลังฝนตก
* อุบายแยบยลในถุงไหม อุปมาถึงวิธีการอันแสนแยบยลที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทันเวลา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.