เฉินอิ๋งมีความอดทนสูง นางทำเพียงนั่งรออีกฝ่ายด้วยท่าทีสงบนิ่ง ตรงกันข้ามกลับเป็นหมิงซินที่เกรงว่านางจะเบื่อจึงคอยอยู่คุยเป็นเพื่อน
ที่ชวนให้คนรู้สึกประหลาดใจก็คือหมิงซินคุยเก่งยิ่งนัก นางคล้ายเคยอ่านหนังสือมาไม่น้อย เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ ความคิดอ่านหรือก็กว้างไกล พูดคุยเรื่องสภาพความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวบ้านในท้องถิ่นต่างๆ กับเฉินอิ๋งรู้เรื่อง จัดเป็นคู่สนทนาที่ดีผู้หนึ่ง
หลังพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศประเพณีของผู้คนในเติงโจว หมิงซินย่อเข่าให้เฉินอิ๋งในเวลาอันเหมาะเจาะ เอ่ยปากแฝงน้ำเสียงหยอกเอินอยู่สองสามส่วน “จะว่าไปผู้น้อยก็ควรขอบคุณคุณหนู หากไม่มีคุณหนู ผู้น้อยก็คงไม่มีโอกาสมาที่นี่ ได้พบคุณหนูอีกครั้ง หากกล่าวอย่างไม่เจียมตน บางทีนี่อาจเป็นเพราะผู้น้อยกับคุณหนูมีวาสนาต่อกัน”
ทันทีที่พูดจบ บรรยากาศภายในห้องก็พลันเงียบงัน
เหตุใดหมิงซินถึงมาที่จี่หนานได้เหตุผลมิใช่ชัดเจนอยู่แล้วหรือไรกัน
นั่นมิใช่เพราะนางเป็นบ่าวที่มีชะตา ‘ข่มนาย’ หรอกหรือ
และที่นางมีชื่อเสียงย่ำแย่เช่นนี้ก็ด้วยเพราะเฉินอิ๋งคลี่คลายคดีกู่ต้าฝูสังหารคนได้สำเร็จ
ที่หมิงซินกล่าวยามนี้ แม้จะเหมือนเป็นคำพูดสรรเสริญเยินยอ แต่ความหมายที่แฝงอยู่ภายในกลับมิได้ทำให้คนรู้สึกดีแต่อย่างใด
หลัวมามาสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมรวดเร็ว นางเอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า “คุณหนูของพวกเรารับพระราชโองการสืบคดี อย่าว่าแต่สกุลเหอเลย ต่อให้เป็นพระราชวังต้องห้าม คุณหนูของพวกเราก็จะลงมือสืบสวนสอบสวนเช่นกัน”
นางหมายใช้คำพูดดังกล่าวปิดปากหมิงซิน ไม่ให้อีกฝ่ายพูดถึงเฉินอิ๋งเช่นนั้น
พอได้ยินเช่นนั้นหมิงซินก็ยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจ ในรอยยิ้มยังแฝงไว้ซึ่งท่าทีงามสง่าหลายส่วน “มามาเข้าใจข้าผิดแล้ว แม้ข้าจะไม่ใช่คนสำคัญอะไร แต่ก็หาได้เลอะเลือนเยี่ยงนั้นไม่”
พูดถึงตรงนี้นางก็หันไปแสดงคารวะต่อเฉินอิ๋งอีกครา สีหน้าจริงจังยิ่ง “ผู้น้อยนึกขอบคุณคุณหนูด้วยใจแท้จริง แน่นอน ในสายตาของคุณหนูผู้น้อยก็แค่หญ้าแพรกไร้ค่าเท่านั้น ทว่าผู้น้อยอย่างไรก็ยังต้องกล่าว การที่คุณหนูคลี่คลายคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นที่บ้านสกุลเหอนั้นได้มอบชีวิตใหม่ให้กับผู้น้อยจริงๆ”
พูดจบนางก็ย่อกายแสดงคารวะด้วยท่าทีงดงามอีกคราว
คำพูดนี้ทำเอาหลัวมามาถึงกับตะลึง
ท่าทางคำพูดคำจาของหมิงซินไม่มีทางเป็นเรื่องโกหก นางนึกขอบคุณเฉินอิ๋งด้วยใจแท้จริง
ยามนี้อย่าว่าแต่หลัวมามาเลย แม้แต่จือสือที่มีนิสัยสุขุมเยือกเย็นก็ยังมีสีหน้าประหลาดใจ
เฉินอิ๋งมองดูหมิงซินปราดหนึ่ง รอยยิ้มนุ่มนวลละมุนละม่อม “เรื่องนี้หาจำเป็นต้องขอบคุณข้าไม่ ข้าก็แค่ทำเรื่องที่สมควรทำก็เท่านั้น ยามนี้เจ้าพบเจอเส้นทางเดินของตนเองแล้ว เห็นเจ้าท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาเช่นนี้ ดูท่าเจ้าเองก็คงชอบการเปลี่ยนแปลงในเวลานี้เช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ดีใจกับเจ้าด้วย”
เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น เฉินอิ๋งไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอันใดวิเศษมหัศจรรย์ แต่สำหรับหมิงซินแล้ว คำพูดดังกล่าวกลับทำนางสองตาแดงก่ำ
นางเงยหน้า สายตาจับจ้องอยู่บนตัวเฉินอิ๋งเป็นนาน จู่ๆ นางก็แย้มยิ้ม “ผู้น้อยคิดอยู่แล้ว คุณหนูสามฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้ คนธรรมดาไหนเลยจะเทียบเทียมได้ ยามนี้ได้พบพานพูดคุยกับท่านซึ่งๆ หน้า ผู้น้อยถึงได้รู้ว่าท่านน้ำใจกว้างขวางยิ่งนัก หาใช่แบบอิสตรีทั่วไปไม่”
นางยกแขนเสื้อขึ้นซับหางตาก่อนจะเอ่ยปากด้วยสีหน้าจริงจังอีกครา “ต่อหน้าคุณหนูสาม ผู้น้อยย่อมมิอาจกล่าววาจามดเท็จ ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมาผู้น้อยพบเจอวาจาถากถางมากมาย ทุกคนล้วนบอกว่าผู้น้อยมีใจคอยจ้องหาโอกาสยกฐานะของตน อีกทั้งยังบอกว่าผู้น้อยเกาะแกะสกุลเหอไม่ยอมปล่อยนั่นก็ด้วยเพราะหมายใจอยากเป็นอนุ ต้องการช่วงชิงความรักความเมตตาที่นายท่านมีต่อนายหญิงเหอ”
นางส่งเสียงประชดออกมาคราหนึ่ง คิ้วเรียวโค้งนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย “สำหรับผู้น้อยแล้ว คนพวกนั้นล้วนตาสุนัขมองคนต่ำ”
แม้จะเป็นเพียงคำพูดแผ่วเบาประโยคหนึ่ง แต่ครั้นออกจากปากนาง มันกลับฝากแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงโอหังอวดดีอยู่หลายส่วน ราวกับมองไม่เห็นคนทั้งโลกอยู่ในสายตา
“อย่าว่าแต่นางบำเรอหรืออนุอันใดเลย ต่อให้นายหญิงเหอหย่าขาดกับนายท่านแล้วยกตำแหน่งของนางให้ผู้น้อย ผู้น้อยก็หาได้แยแสไม่” น้ำเสียงของนางแทบเรียกได้ว่าเมินเฉย ร่างกายเหยียดตรงราวกับดอกบัวชูช่อส่ายไหวงดงามตามสายลม
* ล่าเหมย เป็นไม้ดอกที่ออกดอกในฤดูหนาว ส่วนมากเป็นสีเหลือง แต่ก็มีที่สีชมพูหรือแดง คนทั่วไปรู้จักในชื่อต้น Japanese Allspice (Chimonanthus praecox) แต่คนญี่ปุ่นเรียก ‘โรไบ’
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.