ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 666-668
บทที่ 666 บังเอิญพบเจอสองครั้ง
เสียงหัวเราะเสียงพูดจาระคนอยู่ด้วยกัน สุภาพทว่าสำหรับจือสือแล้วหนวกหูยิ่ง
เพราะเคยชินกับการประจบประแจงมานาน จือสือจึงรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างสบายๆ นางยิ้มเอ่ยปากตอบหญิงรับใช้สูงวัยรูปร่างค่อนข้างอ้วนก่อน “หาใช่ไม่ คุณหนูเรียกข้าให้มาเอาของบนรถม้า เอาเสร็จแล้วข้าก็จะกลับไป”
หลังจากนั้นก็หันไปขอบคุณหญิงรับใช้สูงวัยรูปร่างค่อนข้างผอม “ขอบคุณที่ห่วงใย ทว่าคุณหนูข้ารีบร้อนใช้ของ ชาร้อนเชิญมามาดื่มกินตามสบายเถิด พวกท่านลำบากกันมาครึ่งค่อนวันแล้ว จะได้ไม่หนาวจนล้มป่วย”
แม้จะยิ้มพูดอ่อนโยน ทว่าหญิงรับใช้สูงวัยทั้งสองต่างรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าเฉยชานี้ซ่อนความหลักแหลมอยู่หลายส่วน จึงนึกกลัวไม่กล้าเกาะแกะอันใดอีก หลังจากห้อมล้อมกล่าววาจานอบน้อมสองสามประโยคจบ พวกนางก็พากันถอยจากไป
จือสือลอบถอนหายใจโล่งอก หญิงรับใช้สูงวัยพวกนี้พูดมากเป็นที่สุด หากไม่จัดการให้ดีก็อาจตกเป็นขี้ปากของผู้อื่นได้ง่ายๆ ดูเผินๆ เหมือนนางรับมือได้สบายๆ ไม่ลำบากอันใด แต่แท้ที่จริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ครั้นเห็นพวกนางกลับไปยืนคุยกันอยู่ที่ใต้ชายคาระเบียง จือสือก็ขึ้นไปบนรถม้า หยิบเอาถุงผ้าดิ้นออกมา ทักทายมามาทั้งสองอีกคราหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินจากไป
นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันพ้นออกจากประตูลาน ตรงหน้าก็มีเงาคนขยับไหว นางตกใจรีบเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพบว่าคนผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมา
คนผู้นั้นสวมอาภรณ์ตัวนอกเป็นผ้าดิ้นลายกวางกระเรียนคืนวสันต์พื้นดำปักเส้นทอง เผยให้เห็นอาภรณ์แขนเสื้อกว้างสีครามตัวใน บนเอวคาดด้วยสายรัดเอวสีม่วงเข้ม มีหยกประดับแขวนอยู่ทางด้านบน ที่อยู่บนมวยผมคือปิ่นหยกดำ ท่วงทีปลอดโปร่งสุขุม ท่วงท่าแลดูไม่ต่างอันใดกับย่ำเดินอยู่บนเกล็ดหิมะขาว ร่างกายห่อหุ้มไว้ด้วยแสงจันทร์กระจ่าง แม้จะย่างก้าวรวดเร็วแต่กลับดูมิเร่งร้อน สูงส่งสงบนิ่งยากเกินบรรยาย คล้ายมิใช่มนุษย์ปุถุชน
จือสือเงยหน้าขึ้นมองปราดหนึ่งก่อนจะรีบก้มหน้าค้อมกาย แสดงคารวะนอบน้อม “ผู้น้อยคารวะนายท่านเจ้าค่ะ”
คนที่มาคือเฉินเซ่า
เฉินเซ่าคล้ายนึกไม่ถึงว่าจะมาพบนางอยู่ที่นี่ เขาแสดงอาการประหลาดใจเล็กๆ หยุดชะงักเท้าเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ อาหมานก็ออกมาด้วยกระนั้นหรือ”
เส้นเสียงแจ่มใสอบอุ่นระคนอยู่กับสายลม ฟังดูคล้ายคนดีดสายพิณ
จือสือก้มหน้าตอบ “เรียนนายท่าน คุณหนูไม่ได้ออกมาเจ้าค่ะ มีเพียงผู้น้อยคนเดียวเท่านั้น คุณหนูให้ผู้น้อยมาเอาของบนรถม้า”
เฉินเซ่าส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่ถามอะไรอีก ทำเพียงสะบัดแขนเสื้อกว้าง “ไปเถอะ”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เดินผ่านข้างกายจือสือ มุ่งหน้าไปกลางลาน
จือสือหลบไปยืนอยู่ทางด้านข้าง ครั้นชำเลืองเห็นอาภรณ์ผ้าดิ้นสีดำขยับไกลออกไป นางก็ค่อยๆ ขยับถอยออกนอกลาน ขณะกำลังจะหันหลังเดินต่อไป น้ำเสียงชุ่มชื้นอ่อนโยนก็ดังลอยมาทางด้านหลัง
“ข้ามาหาสิงเหว่ย พวกเจ้าเห็นเขาบ้างหรือไม่”
ตอนคำพูดประโยคนี้ดังลอยมา นางเลี้ยวพ้นออกจากประตูลานไปแล้ว ด้วยเหตุนี้คำพูดหลังจากนั้นจึงถูกกำแพงสูงกั้นขวาง จือสือจึงมิอาจได้ยินอันใด
เท้าของจือสือหยุดชะงัก นางอดนึกแปลกใจไม่ได้
ว่ากันตามหลักแล้ว ข้างกายของเฉินเซ่าน่าจะมีบ่าวไพร่ตามติดอยู่ด้วยสองสามคน หากต้องการหาคน ก็น่าจะเป็นหน้าที่ของบ่าวไพร่พวกนั้น เหตุใดเฉินเซ่าต้องออกหน้ามาตามหาเองเช่นนี้ด้วย หนำซ้ำคนที่อยู่ในที่จอดรถม้าพวกนี้ก็ล้วนแต่เป็นพวกบ่าวไพร่ระดับล่าง เฉินเซ่าลดฐานะของตนมาตามหาผู้ติดตามเช่นนี้ สิงเหว่ยผู้นี้ช่างหน้าใหญ่ยิ่งนัก
มีเรื่องใหญ่โตอันใดเกิดขึ้นหรือไร หรือว่ามีเรื่องสำคัญที่มิอาจอาศัยมือคนอื่นกระทำได้ จึงได้แต่ต้องวิ่งมาเองเช่นนี้
นอกจากนี้จือสือก็นึกไม่ออกแล้วว่ามีเหตุผลอันใดที่ต้องให้เฉินเซ่าวิ่งมายังลานเรือนอันเป็นที่พักเท้าของพวกบ่าวไพร่
ความคิดดังกล่าววนเวียนอยู่ในใจนาง จือสือคล้ายใจลอย นางเดินไม่พูดไม่จาจนกระทั่งมาถึงประตูบานที่สอง ครั้นพบว่าทัศนียภาพรายรอบเปลี่ยนแปลงเส้นทางต่างจากตอนที่เดินมา นางก็รีบเงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะตกใจเมื่อพบว่าเพราะไม่ทันระวังตนเองได้เผลอเดินเลี้ยวเข้ามายังสวนดอกไม้เล็กๆ ของจวนโหวแล้ว
จะว่าไปสวนดอกไม้เล็กๆ นี้ห่างจากประตูที่สองไม่ไกลนัก มีประตูข้างเชื่อมต่อไปถึงห้องหนังสือด้านนอก เดิมมีไว้ให้นายท่านกับคุณชายทั้งหลายใช้พักผ่อนหลังอ่านหนังสือตำราจนเหนื่อย สตรีทั้งหลายหากต้องการมาที่นี่ก็ต้องรอให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากไปจนสิ้นก่อนถึงจะเข้ามาได้
พอพบว่าตนเองเดินมาถึงที่นี่จือสือก็รู้ได้ในทันทีว่าเมื่อครู่นางต้องเลี้ยวผิดทางแน่ นางอุทานออกมาคราหนึ่งก่อนจะรีบถอยกลับออกไป
จวนหย่งเฉิงโหวนี้นางเคยมาแล้วหลายครั้ง แม้จะไม่คุ้นทางเท่ากับสวินเจิน แต่จุดตำแหน่งส่วนใหญ่ก็ยังพอรู้อยู่ หากเข้ามาในสวนดอกไม้เล็กๆ นี่ต้องอ้อมห้องหนังสือด้านนอกเพื่อกลับเรือนรับรอง ต้องเดินไปตามทางแคบซึ่งค่อนข้างไกล มิสู้ถอยย้อนกลับไปตามทางเดิม
นางเดินออกจากประตูสวนพลางนึกขันที่ตนเองเลอะเลือนเช่นนี้ นึกไม่ถึงทันทีที่ย่างเท้าขึ้นไปบนเส้นทางหินนอกประตู ด้านข้างก็มีเงาคนผู้หนึ่งโผล่พรวดออกมา
จือสือตกใจ เบี่ยงตัวหมายเปิดทางให้อีกฝ่าย แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็อยู่ห่างกันแค่คืบแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ
ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน จือสือแม้แต่จะร้องอุทานก็ยังไม่ทัน ทำได้เพียงสองตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือจู่ๆ เงาร่างของคนผู้นั้นก็หยุดลงกะทันหัน เท้าของอีกฝ่ายพลิกหันเปลี่ยนทาง แฉลบผ่านข้างตัวจือสือไป กระดุมสำริดข้างชุดของอีกฝ่ายกระทบกับชายกระโปรงของจือสือ
จือสือสะดุ้งตกใจ ครั้นประคองตัวนิ่งได้สำเร็จหันมองกลับไปดูอีกที คนผู้นั้นก็ห่างไปสองสามก้าวแล้ว เท้ายังคงเคลื่อนที่ไม่หยุด วาจาคลุมเครือว่า ‘ขออภัย’ ดังลอยตามลม เพียงไม่นานเงาร่างดังกล่าวก็หายลับจากไปอย่างรวดเร็ว ร่างของอีกฝ่ายไม่ต่างอันใดกับภูตผีปีศาจ ทำเอาจือสืออกสั่นขวัญแขวนเหงื่อเย็นไหลพราก
นางยืนมือกุมอยู่ที่อกเสื้อ ใบหน้าซีดเผือด หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจนางก็เอ่ยปากน้ำเสียงสั่นสะท้านออกมา “ทำข้าตกใจแทบแย่”
จู่ๆ ก็มีคนโผล่พรวดออกมาจนเกือบชนนางเข้า ถึงปกตินางจะเป็นคนสุขุม แต่อย่างไรก็ยังคงตื่นตระหนกอยู่เล็กๆ หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นบุรุษ วิ่งเร็วรี่เช่นนี้ เกิดชนกันเข้าคนที่เสียหายคงไม่แคล้วเป็นนาง
โชคดีที่คนผู้นั้นมือไม้คล่องแคล่ว สามารถหลบหลีกได้พ้น แม้จะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีอันตรายอันใด
จือสือยืนพิงร่างเข้ากับต้นไม้เตี้ยที่อยู่ข้างๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่สองสามครา ครั้นใจที่เต้นโครมครามอยู่ก่อนหน้านี้เริ่มสงบลง นางก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด
ถึงจะสบตากันแค่เพียงครู่ รูปร่างหน้าตาของชายคนดังกล่าวเป็นเช่นไรก็ยังไม่ทันเห็นชัด ทว่านัยน์ตาเย็นเยียบเรียวยาวไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ นั้นนางกลับจำมันได้แม่น
นางไม่เคยเห็นสายตาชวนประหวั่นเช่นนั้นมาก่อน คล้ายงูพิษที่กำลังรอฉกคนอยู่ท่ามกลางความมืด เฉกสัตว์ร้ายที่กำลังพิจารณาดูเหยื่อ ชวนให้คนรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ หนาวสะท้านไปทั้งใจ
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ จือสืออดหันมองกลับไปไม่ได้
ลมพัดหญ้าแห้ง ลานเรือนหนาวเหน็บต้นไม้สูงตระหง่าน บรรยากาศภายในลานเปล่าเปลี่ยว บนเส้นทางหินที่อยู่ไกลออกไปมีนางกำนัลเดินมาสองคน ฝีเท้าเร่งร้อน ส่วนบุรุษนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษนั่นกลับคล้ายมลายหายไปเสียเฉยๆ ครั้นพิจารณาครุ่นคิด จือสือก็นึกไม่ออกว่าเขามาจากที่ใด
นางกระชับเสื้อคลุมบนร่าง ข้อกระดูกนิ้วซีดขาว
บางทีอีกฝ่ายอาจเป็นแขกคนใดคนหนึ่งหรือไม่ก็พวกองครักษ์…
นางคิดเช่นนั้น นี่เป็นการอนุมานที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
คนผู้นี้เสื้อผ้าอาภรณ์แม้จะสะอาดสะอ้าน ถึงผ้าที่ใช้ตัดเย็บจะธรรมดา แต่บนร่างกลับแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายของคนที่อยู่ในยุทธภพ ไม่คล้ายกับผู้เป็นนายท่านทั้งหลาย หนำซ้ำยังเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ท่าทีตอบสนองรวดเร็วฉับไว ฐานะของเขาคงเป็นไปได้ก็แค่เพียงพวกองครักษ์หรือไม่ก็ที่ปรึกษาของนายท่านตระกูลใดตระกูลหนึ่งเท่านั้น
งานเลี้ยงมีองครักษ์ปรากฏตัว หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดไม่
ชนชั้นสูงในเมืองหลวง ยามออกจากเรือนล้วนคุ้นชินกับการมีองครักษ์ข้างกาย เมื่อหลายปีก่อนเมืองหลวงเซิ่งจิงไม่สงบ หากไม่เลี้ยงองครักษ์ดูแลบ้านเรือนไหนเลยจะมีชีวิตสุขสงบได้
หลังจากคิดได้เช่นนั้น อีกทั้งเริ่มหายตกอกตกใจแล้ว จือสือก็ปล่อยวางเรื่องดังกล่าวลง รีบเดินไปที่เรือนรับรอง
ส่วนเฉินเซ่ายามนี้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางหินพร้อมกับสิงเหว่ยที่เขาไปตามตัวมาจากลานด้านข้าง พวกเขาคนหนึ่งหน้าคนหนึ่งหลัง คนหนึ่งยโสอีกคนนอบน้อม ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็ล้วนบอกได้ว่าพวกเขาเป็นนายบ่าวคู่หนึ่ง
เพียงแต่บนใบหน้าที่ก้มต่ำของสิงเหว่ยนั้นกลับมีก็แต่ความรู้สึกเพิกเฉยเย็นชา ไม่ปรากฏสีหน้าเคารพนับถือผู้เป็นนายแต่อย่างใด