LOVE
ทดลองอ่าน ออดอ้อน… เพียงเธอ บทที่7-บทที่8
บทที่ 7
คนรักเก่า
“พลีสว่าคุณอาเขาดูแปลกๆ กับพี่ภักดิ์นะคะ เขาไม่ชอบพี่ภักดิ์หรือเปล่า” พาขวัญถามทำลายความเงียบขณะเดินเคียงข้างภวิลไปยังห้องทำงานส่วนตัวของเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“ทำไมคุณพลีสถามแบบนี้”
“พลีสแปลกใจนี่คะ ตอนอยู่ในห้องประชุมคุณอาคอยขัดพี่ภักดิ์ตลอดทั้งๆ ที่ความคิดของพี่ภักดิ์ก็ดีอยู่แล้ว แถมบางเรื่องก็ไม่เห็นมีประเด็นอะไรเลย” พาขวัญพูดไปตามที่คิด
หญิงสาวสังเกตได้ว่าการมีอติกันต์อยู่ในห้องประชุมด้วยทำให้บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดเพราะเขาคอยหาเรื่องแย้งภวิลแทบจะตลอดเวลา ฝ่ายภวิลฟังแบบนั้นก็ชื่นชมในความช่างสังเกตและหัวไวของหญิงสาว ถึงเธอจะยังดูเด็กและปากก็พูดว่าไม่อยากมาทำงานที่บริษัท แถมตอนอยู่ในห้องประชุมยังทำหน้าเหมือนรับข้อมูลไม่ไหว แต่ความจริงเธอก็ตั้งใจฟังแถมยังจับประเด็นได้อย่างถูกต้อง
ที่จริงถ้าพาขวัญมีใจอยากทำงานที่นี่ จับเธอมาฝึกไม่นาน เธอก็คงเป็นบุคลากรที่มีความสามารถอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่ง และบางที…เธออาจจะชอบงานที่บริษัทมากขึ้นก็ได้
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณกันต์แย้งผมก็ดีแล้ว แสดงว่าความคิดของผมอาจจะยังมีช่องโหว่…มีคนคอยช่วยหาจุดบกพร่องก็ดี งานจะได้ไม่พลาด” ภวิลตอบราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาในการทำงาน
ชายหนุ่มไม่อยากให้พาขวัญคิดมาก ทว่า…เขาก็รู้ดีว่าที่วันนี้อติกันต์มานั่งฟังการประชุมทั้งๆ ที่ปกติจะมาบ้างไม่มาบ้างเพราะพาขวัญมาประชุมด้วย และที่คอยขัดคอยแย้งเขาบ่อยๆ คงเพราะอยากให้พาขวัญเห็นว่าเขาก็ทำงานพลาดได้ ไม่ได้เก่งเหนือใครๆ อย่างที่พิธานไว้ใจ
“น้องพลีส!”
ขณะที่ภวิลกำลังเปิดประตูห้องทำงานส่วนตัวอยู่นั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อทั้งสองคนหันไปมองต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กันเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอผู้ชายคนนี้ที่นี่
และในสถานการณ์นี้…โดยเฉพาะพาขวัญ
นับตั้งแต่ราเมศขอหยุดความสัมพันธ์ไปในวันนั้นเมื่อประมาณเก้าปีก่อน เธอกับเขาก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ต่างคนต่างไม่ติดต่อกัน และยกเลิกทุกช่องทางในการติดต่อกันด้วย
พาขวัญแทบไม่ได้ยินชื่อของราเมศอีกเลยนับตั้งแต่วันที่เลิกรากันไป เพราะคนรอบตัวเธอไม่ได้พูดถึงเขาให้ได้ยิน และเธอก็ไม่เคยแสวงหาข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับตัวเขาเลย
ราเมศในปัจจุบันแตกต่างจากราเมศเมื่อประมาณเก้าปีก่อนค่อนข้างมากทีเดียว ในอดีตเขาดูเป็นหนุ่มหน้าใส รูปร่างผอมสูง หน้าตาดี แต่ปัจจุบัน…ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายขึ้น รูปร่างสูงใหญ่แบบคนออกกำลังกายและดูแลตัวเองอย่างดี ผิวของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อยคงเพราะเล่นกีฬากลางแจ้ง อีกทั้งยังดูมีเสน่ห์มากขึ้นตามวัย เมื่อก่อนชายหนุ่มก็เสน่ห์แรงจนมีสาวๆ เข้ามาพัวพันในชีวิตมากมาย พอตอนนี้เขาดูดีกว่าเดิมมาก เธอเดาว่าคงยิ่งมีผู้หญิงเข้าหาเขาแทบไม่เคยขาด
“พี่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอน้องพลีสที่นี่”
ราเมศเดินเข้ามาหาหญิงสาวด้วยความยินดี เขากำลังจะเอื้อมมือไปจับมือบอบบางอย่างสนิทสนม แต่เธอกลับขยับตัวออกห่างเล็กน้อย ทำให้เขารู้ตัวว่าไม่ควรจะรุกเธอมากเกินไป
ชายหนุ่มดีใจจนลืมไปว่าในอดีตเขาเป็นคนขอตัดความสัมพันธ์ เขาคงทำให้เธอเสียใจ หากต้องการเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับเธอ เขาต้องระมัดระวังและใจเย็นกว่านี้
“พี่ราเมศมาติดต่อเรื่องงานเหรอคะ”
พาขวัญถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยเมื่อตั้งสติได้ ไม่ใช่ว่าเธอยังเสียใจหรืออาลัยอาวรณ์ราเมศเพราะเธอลืมเขาไปนานแล้ว ความรักระหว่างเธอกับราเมศเหมือนเป็น ‘ปั๊ปปี้เลิฟ’ ของวัยรุ่นที่ไม่ได้มีความลึกซึ้งอะไร ตอนนั้นเธอแค่ซึมๆ ไปไม่กี่วันแล้วก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
แต่ที่เมื่อครู่เธอตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้พบเขาโดยบังเอิญต่างหาก
“พอดีที่บริษัทของพี่อยากให้ที่นี่จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวคลินิกสาขาใหม่ก็เลยให้พี่มาติดต่อ”
ครอบครัวของราเมศทำธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงามมานานแล้ว แรกเริ่มก็เป็นร้านเสริมสวยทั่วไปต่อมาเติบโตครอบคลุมไปถึงคลินิกเสริมความงามด้วย ครอบครัวเขาเป็นเจ้าแรกๆ ที่จับธุรกิจด้านนี้และรักษาคุณภาพได้ดีจึงยังครองตลาดเป็นอันดับต้นๆ ในเมืองไทย และยังมีสาขากระจายอยู่ในจังหวัดใหญ่ๆ เกือบทั่วประเทศ ตอนนี้ราเมศเข้ามาช่วยบิดาและมารดาบริหารงานเพื่อสืบทอดกิจการ
ชายหนุ่มดีใจที่เขามาติดต่องานเองเพราะนอกจากจะได้พบกับพาขวัญแล้ว หากเธอปลีกเวลาจากการดูแลโรงเรียนสอนการแสดงมาทำงานที่นี่ด้วย เขาก็คงมีโอกาสได้ร่วมงานกับเธอ
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณราเมศรอที่ห้องรับแขกก่อนนะครับ เรามีพนักงานต้อนรับคอยดูแลอยู่ สักบ่ายๆ ค่อยคุยเรื่องงานกัน ตอนนี้เป็นเวลาพัก แล้วคุณพลีสก็เพิ่งออกจากห้องประชุม เธอต้องการพักผ่อน” ภวิลออกปากแทนเพราะเห็นว่าราเมศคงจะคุยนานจนพาขวัญไม่ได้พักผ่อนเป็นแน่
คำพูดของภวิลทำให้ราเมศลากสายตาไปจ้องหน้าเขา ชั่วขณะนั้นใบหน้าของราเมศก็แสดงอาการหวั่นเกรงและกรุ่นโกรธในคราวเดียวกัน…ราวกับทั้งสองคนเคยมีเรื่องมีราวกันมาก่อน
“ไว้ค่อยคุยกันนะน้องพลีส พี่มีเรื่องอยากคุยกับน้องพลีสเยอะเลย” ราเมศหันไปยิ้มให้พาขวัญ แต่ก่อนจะเดินไปยังห้องรับแขกก็ยังไม่วายส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้ภวิลอีกครั้ง
“พี่ราเมศกับพี่ภักดิ์เคยมีเรื่องกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”
พาขวัญถามด้วยความค้างคาใจเมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของภวิลแล้ว
จะไม่ให้เธอสงสัยได้ยังไงในเมื่อราเมศแสดงออกอย่างชัดเจนถึงขนาดนั้น แต่เธอก็นึกไม่ออกว่าทั้งสองคนจะมีเรื่องผิดใจอะไรกันเพราะพวกเขาไม่น่าจะรู้จักกันมาก่อน สมัยที่เธอคบกับราเมศ ภวิลไม่น่าจะเคยเจอกับอีกฝ่าย ไม่สิ! เขาไม่น่าจะรู้ว่าเธอเคยคบกับราเมศด้วยซ้ำเพราะเธอกับเขาไม่ได้สนิทกัน แล้วช่วงนั้นเขาก็ออกไปอยู่คอนโดฯ แล้ว ยกเว้นแต่ว่า…พ่อเธอจะเล่าให้เขาฟัง
“เขาคงไม่พอใจที่ผมขัดคอไม่ให้เขาคุยกับคุณพลีสมั้ง” ชายหนุ่มตอบอย่างขอไปที
“แล้วทำไมพี่ภักดิ์คิดว่าเขาจะต้องไม่พอใจที่พี่ภักดิ์ขัดคอเขาด้วยคะ อีกอย่างท่าทางและสายตาเขากับพี่ภักดิ์มองกันเหมือนเคยมีเรื่องกันมาก่อน หรือว่าพี่ภักดิ์ไปรู้อะไรมา คุณพ่อเล่าอะไรให้พี่ภักดิ์ฟังคะ” พาขวัญจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาคำตอบ ทว่าภวิลกลับไม่ตอบอะไร
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา
“โทรสั่งอาหารมาทานในห้องนี้ดีกว่านะ ช่วงพักกลางวันที่โรงอาหารคนเยอะ คุณพลีสอาจจะยิ่งรู้สึกอึดอัด” เขาจงใจเลี่ยงการตอบคำถามของเธอด้วยการถามถึงเรื่องกินเฉยเลย
“พี่ภักดิ์ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะคะ”
“คุณพลีสอยากทานอะไร มีร้านโปรดเป็นพิเศษมั้ย”
พี่ภักดิ์ไม่ยอมตอบคำถามจริงๆ ด้วย
เห็นท่าทางแบบนี้พาขวัญก็รู้แล้วว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะคาดคั้นหรือเซ้าซี้ถามเพราะภวิลคงไม่บอกความจริงกับเธอเป็นแน่ หญิงสาวทำได้แค่ถอนหายใจและทำหน้ามุ่ยใส่เขา
“หรือจะทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นเจ้าเก่าของที่นี่ดี สั่งแบบพิเศษเพิ่มเนื้อตุ๋นเยอะๆ ดีมั้ย คุณพลีสเคยชอบทานนี่นา” ภวิลถามต่ออย่างรู้ใจในขณะที่พาขวัญนิ่งเงียบไปสามวินาที
ร่างบางมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะจำได้ เธอไม่ได้มาที่บริษัทบ่อยๆ ไม่เคยบอกเขาหรือใครว่าเมนูนี้คือเมนูโปรด แต่เกือบทุกครั้งที่มาที่นี่ก็มักจะสั่งเมนูนี้
นี่เขาคอยสังเกตและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเธอขนาดนี้เชียวหรือ…
“คุณพลีสมองผมทำไม” เขาเลิกคิ้ว
“พี่ภักดิ์จำได้ด้วยเหรอคะว่าเวลาที่พลีสมาที่นี่พลีสชอบทานอะไร”
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนเพิ่งรู้ตัว “คุณท่านบอกผมไว้”
นึกอยู่แล้วเชียว…พาขวัญคิดต่อในใจ
ทีแรกเธอก็เผลอคิดไปว่าภวิลเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับเธอด้วยตัวเขาเอง แต่ความจริงแล้วพิธานเป็นคนป้อนข้อมูลให้เขาต่างหาก เพราะแบบนี้แหละเธอถึงได้คิดว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ของพ่อ!
ภวิลสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นมาทานที่ห้องทำงานส่วนตัวกับพาขวัญสองคน ทั้งคู่ไม่ค่อยได้พูดคุยกันมากนัก แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพังเขาก็ดูแลเธอเป็นอย่างดีโดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอจนหญิงสาวแทบไม่ได้หยิบจับอะไรด้วยตัวเอง นี่ถ้าป้อนเธอได้ เขาคงจะป้อนเธอไปแล้ว
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ให้พาขวัญนั่งเล่นอยู่ในห้องทำงานไปพลางๆ ก่อนที่เขาจะออกไปคุยงานกับราเมศ และติดตามงานกับทีมงานต่ออีกเล็กน้อยแล้วกลับมาหาหญิงสาวอีกครั้งในเวลาเกือบสี่โมงเย็นซึ่งขณะที่นั่งรอเขานั้นเธอก็เตรียมการสอนสำหรับพรุ่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว
พอภวิลขับรถมาส่งพาขวัญที่บ้านวงศ์วรารมย์ พิธานก็ชักชวนให้เขาอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันต่อราวกับว่าจะไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเลยสักนาที วันนี้พาขวัญจึงต้องเจอหน้าภวิลแทบทั้งวัน แต่มันก็ช่วยให้เธอกับเขาคุ้นเคยกันและสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นโดยที่เธอแทบไม่รู้ตัว
“ไปประชุมกับพี่ภักดิ์เป็นยังไงบ้าง สนุกมั้ยน้องพลีส”
พิธานชวนคุยขณะทานอาหารเย็นร่วมกันสามคน ในเวลานี้อติกันต์ยังไม่กลับบ้านและโดยปกติคุณอาหนุ่มก็ไม่ค่อยทานอาหารเย็นที่นี่อยู่แล้ว ถ้าผับไม่ปิดอย่าคิดว่าจะได้เห็นหน้าอติกันต์
“สนุกที่ไหนกันคะคุณพ่อ” พูดถึงเรื่องงานที่บริษัทแล้วพาขวัญก็เซ็งจนแทบจะวางช้อนลง เธอสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะเล่าน้ำไหลไฟดับ “ไม่ใช่ว่าพลีสเป็นพวกเกเรงาน หนักไม่เอาเบาไม่สู้นะคะ แต่งานที่บริษัทไม่ใช่ทางของพลีสจริงๆ ตอนประชุมนี่พลีสปวดหัวจนแทบจะขอยาดมจากคุณนกแล้ว”
พิธานหัวเราะราวกับเป็นเรื่องขบขัน ท่านรู้อยู่แล้วว่าพาขวัญไม่ชอบงานที่บริษัทมากแค่ไหน แต่ที่ท่านอยากให้เธอไปประชุมไม่ใช่แค่เพราะอยากให้มีเวลาใกล้ชิดกับภวิล แต่ยังอยากให้เธอรู้ด้วยตัวเองว่าเธอไม่สามารถแบกรับหน้าที่ดูแลบริษัทได้และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้ภวิลมาดูแลแทน แน่นอน…นี่คือแผนการที่ท่านต้องการเร่งให้เธอตัดสินใจแต่งงานกับภวิลเร็วขึ้นอย่างที่เธออาจจะยังไม่รู้ตัว
“พลีสบอกเลยนะคะว่าพลีสจะไม่ขอรับผิดชอบงานในบริษัทไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น”
พาขวัญรีบออกตัวก่อนที่พิธานจะกดดันให้เธอไปช่วยงานภวิลที่บริษัทอีก เธอไม่อยากไปทำงานที่นั่น หญิงสาวคิดว่างานออร์แกไนเซอร์ไม่เข้ากับเธอเลย เธอไม่ชอบทำงานภายใต้แรงกดดันที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ไม่ชอบการโต้เถียง และไม่ชอบการชิงดีชิงเด่นกัน เมื่อเห็นแล้วว่าภวิลสามารถทำหน้าที่บริหารบริษัทได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพสูงสุด เธอก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะให้เขาทำหน้าที่นี้ต่อไป
“งั้นก็ถามพี่ภักดิ์ดูสิว่าเขาจะยอมให้น้องพลีสเอาเปรียบหรือเปล่า”
“พลีสไม่ได้จะเอาเปรียบพี่ภักดิ์นะคะ ก็พี่ภักดิ์เขาถนัดทำงานด้านนี้เองนี่นา”
“แต่เขาก็ต้องทำงานแทนน้องพลีสไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นน้องพลีสก็ต้องไปทำเอง”
พาขวัญเถียงไม่ออก เธอมองไปทางภวิล แต่เขาไม่ช่วยพูด แถมยังจงใจนั่งเงียบอีกต่างหาก
“พลีสสัญญานะคะว่าจะตั้งใจทำงานในส่วนของพลีส นั่นคือโรงเรียนสอนการแสดง และจะช่วยดูแลความเรียบร้อยในบ้านเราทุกอย่างเลยค่ะ”
“ถามพี่ภักดิ์เขา…”
พิธานยังยืนยันคำเดิม ทำให้พาขวัญต้องหันไปมองหน้าภวิลอีกครั้ง
“ผมตามใจคุณพลีส เพราะคุณพลีสจะไปทำงานที่บริษัทหรือเปล่าก็คงมีค่าเท่ากัน”
“พี่ภักดิ์! ว่าเค้าไร้ประโยชน์เหรอ”
พาขวัญไม่คิดเลยว่าภวิลจะตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบนี้ แต่พิธานกลับหัวเราะชอบใจจนเธออดคิดไม่ได้ว่าทั้งสองคนเข้าข้างกันดีเสียจริงๆ ไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ใครเป็นลูกแท้ๆ ของท่านกันแน่
“มาคุยกันแบบใช้เหตุผลและเป็นผู้ใหญ่กันดีกว่า” พิธานวกเข้าประเด็นสำคัญเมื่อเห็นว่าทั้งภวิลและพาขวัญมองสถานการณ์ได้อย่างแจ่มชัดแล้ว “เรื่องในอนาคตของน้องพลีสกับพี่ภักดิ์…”
ประโยคนั้นทำให้ภวิลกับพาขวัญมองหน้ากัน หญิงสาวรู้สึกเหมือนกลืนข้าวไม่ลงเสียดื้อๆ ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจภวิล แต่เธอไม่คิดว่าพิธานจะพูดเรื่องนี้บนโต๊ะอาหารและต่อหน้าเขาด้วย
“น้องพลีสจะว่ายังไง”
“ทำไมถามพลีสล่ะคะ”
“ก็พี่ภักดิ์เขาตอบตกลงนานแล้ว”
คราวนี้ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงอย่างฉับพลัน พาขวัญทั้งเขินทั้งอายจนอยากจะลุกหนีไปดื้อๆ แต่เธอไม่อยากทำตัวเป็นเด็กไร้เหตุผลที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา…ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องนี้มันก็ไม่เชิงว่าเป็นปัญหาด้วย เพียงแต่เธออายหากต้องนั่งพูดคุยกันตรงๆ
“น้องพลีสอยากไปดูแลบริษัทเองมั้ย” พิธานถามได้ถูกจุดเสมอ
หากถามว่าพาขวัญอยากแต่งงานกับภวิลหรือไม่ ท่านคงได้รับคำตอบว่า ‘ไม่’ แต่ถ้าถามแบบนี้สุดท้ายแล้วบทสรุปก็คือเธอจะแต่งงานกับภวิล เพราะถ้าเธอไม่ต้องการดูแลบริษัทเองก็จำเป็นที่จะต้องให้ภวิลมาดูแล และหากต้องการความจงรักภักดีจากเขามากที่สุด เธอก็ต้องมีอนาคตร่วมกับเขา
“คุณพ่อก็น่าจะรู้คำตอบ” พาขวัญตอบอ้อมๆ
หากต้องให้หญิงสาวเลือกบริหารบริษัทกับแต่งงานกับภวิลและให้เขาบริหารงานแทน เธอคิดว่าตัวเลือกหลังน่าสนใจกว่า มันไม่ใช่เพราะเธอเกียจคร้านไม่อยากทำงานหรืออยากได้ภวิลเป็นสามีจนตัวสั่น แต่เมื่อพิจารณาเหตุผลรวมๆ อย่างถ่องแท้แล้วเธอก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม…นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอคิดว่าการแต่งงานกับภวิลเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“แต่พลีสก็ยังไม่ได้อยากแต่งงานในเร็วๆ นี้นะคะ เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าถ้าพลีสแต่งงานกับพี่ภักดิ์จริงๆ แล้วทุกอย่างมันจะโอเค” พาขวัญพยายามต่อรอง “พลีสคงรู้สึกแย่มากหากชีวิตหลังแต่งงานไม่มีความสุขเลย ฉะนั้นพลีสจะแต่งงานกับพี่ภักดิ์ก็ต่อเมื่อพลีสรักพี่ภักดิ์แล้วเท่านั้น ถ้าพี่ภักดิ์เป็นคนดีจริงอย่างที่คุณพ่อโฆษณา พลีสก็คงหลงรักพี่ภักดิ์ได้ไม่ยากหรอกมั้งคะ”
พิธานมองหน้าลูกสาวหัวหมอแล้วยิ้มบางๆ ในใจนึกหมั่นไส้ในความฉลาดของเธอที่หาทางยืดเวลาออกไปได้อีกสักระยะ แต่ก็ดี…ท่านก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นพ่อที่บังคับจิตใจลูก
อดทนให้เธอยอมตกลงปลงใจด้วยตัวเองอีกสักหน่อย…ท่านรอได้
“ภักดิ์จะว่ายังไง”
“ผมแล้วแต่คุณท่านครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่น้องพลีสว่าก็ได้ ไม่งั้นน้องพลีสจะหาว่าพ่อบังคับอีก”
“ครับคุณท่าน”
ครับคุณท่าน…อีกแล้ว!
พาขวัญคิดในใจและค่อนขอดภวิลว่าเขาช่างเหมือนหุ่นยนต์ที่ทำตามใจพ่อเธอทุกอย่างจริงๆ
“ทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง ฮึ? น้องพลีส” พิธานถามเมื่อหันไปเห็นลูกสาวแอบเบ้ปากเบาๆ ราวกับกำลังหมั่นไส้ใครสักคน ท่าทางของเธอนี่มันน่าดึงแก้มสักทีจริงๆ
“เปล่าค่ะ พลีสแค่คิดว่าพี่ภักดิ์นี่เป็นคนดีจังเลยนะคะ คุณพ่อพูดอะไรสั่งอะไรก็ไม่เคยคัดค้านเลย มีแต่ครับๆๆ เหมือนหุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ไม่มีผิด”
“ถ้าพี่ภักดิ์เขาเป็นหุ่นยนต์จริงๆ เขาก็เป็นหุ่นยนต์ที่มีโปรแกรมที่ดีที่สุด เพอร์เฟ็กต์ที่สุด ดูดีที่สุด และผู้หญิงทั้งประเทศต้องการเป็นเจ้าของเขาโดยไม่มีเงื่อนไขเหมือนน้องพลีส”
พิธานออกตัวปกป้องภวิลเต็มที่ พาขวัญได้แต่ทำปากคว่ำแล้วมองภวิลอย่างขัดใจที่เขาดึงพิธานไปเป็นพรรคพวกจนลูกสาวอย่างเธอกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบไปแล้ว!
หลังทานอาหารเย็นร่วมกันแล้วทั้งสามคนก็นั่งพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนที่ภวิลจะขอตัวกลับ พาขวัญขอตัวขึ้นห้อง ส่วนพิธานเดินมาส่งชายหนุ่มที่รถ แม้หญิงสาวจะคอยขัดคอภวิลบ้าง แต่ก็ทำอย่างเด็กๆ ที่ไม่ได้คิดจริงจังอะไรมาก ท่านเห็นแววว่าคู่นี้น่าจะพอลงเอยกันได้
อย่างน้อยๆ พาขวัญก็ยอมรับปากว่าจะศึกษาดูใจกับภวิลจริงๆ จังๆ แล้ว พิธานคิดว่าต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับชายหนุ่มแล้วว่าจะเอาชนะใจเธอได้หรือไม่
“ขอบคุณมากนะที่วันนี้ช่วยดูแลน้องพลีสอย่างดี แล้วก็ขอบคุณที่อดทนรออย่างใจเย็น แม้ว่าน้องพลีสอาจทำตัวไม่น่ารักกับภักดิ์ไปบ้าง แต่ภักดิ์อย่าถือสาน้องเลยนะ บางทีน้องก็ยังมีมุมที่เหมือนเด็กๆ อยู่”
พิธานตบไหล่ภวิลเบาๆ พาขวัญมีทั้งมุมที่เป็นเด็กและเป็นผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากจะเผยด้านเด็กๆ กับคนที่สนิทใจเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าภวิลจะเป็นหนึ่งในนั้นโดยที่เจ้าตัวเองก็อาจยังไม่รู้ตัว
“คุณพลีสน่ารักสำหรับผมเสมอครับ”
ภวิลตอบเสียงเรียบ เขาไม่ได้พูดเพื่อเอาใจพิธาน เพราะชายหนุ่มรู้สึกเช่นนี้เสมอมา..อย่างวันนี้ตอนอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวด้วยกัน เธอก็ไม่ได้ปล่อยให้เขาดูแลแต่ฝ่ายเดียว หากยังช่วยดูแลเขาในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ที่สำคัญเธอยังจับสังเกตได้ว่าเขารับรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเธอ
ซึ่งทุกอย่างที่ภวิลรู้นั้นไม่ใช่เพราะพิธานป้อนข้อมูลให้เขาอย่างที่เขาบอกเธอและเธอก็น่าจะเข้าใจไปแบบนั้น แต่เป็นเพราะเขาเฝ้ามองเธอมาตลอดต่างหาก
“ภักดิ์…จะบอกเรื่องในอดีตกับน้องพลีสมั้ย”
พิธานตัดสินใจถามแม้จะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นว่าภวิลกับพาขวัญมีแนวโน้มที่จะลงเอยกัน ท่านก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นกำแพงระหว่างทั้งสองคน และกลัวว่าหากพาขวัญมารู้ทีหลังอาจจะรู้สึกไม่ดี ไม่ใช่ว่าท่านมองว่าพาขวัญเป็นคนไร้เหตุผล แต่ท่านกลัวว่าเธอจะน้อยใจที่ภวิลมีความลับกับเธอ
“ฉันขอโทษที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
พิธานพูดต่อเมื่อเห็นภวิลเงียบไปและดวงตาคมกริบที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจก็ไหววูบไปครู่หนึ่งก่อนที่มันจะกลับมานิ่งดังเดิม…ท่านรู้ว่าเขาสะเทือนใจกับเรื่องนี้
“ฉันไม่ได้บังคับว่าภักดิ์ต้องบอก ถ้าภักดิ์ไม่อยากพูดถึงมันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าภักดิ์อยากจะบอกน้องพลีสแล้วไม่กล้าพูดเองเพราะมันเป็นบาดแผลในใจ ฉันก็จะช่วยอธิบายให้น้องพลีสเข้าใจเอง”
“ผมจะเป็นคนบอกคุณพลีสเองครับ แต่ผมขอเวลาอีกหน่อย” ภวิลบอกและเขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่เขาอยากรอเวลาให้พาขวัญเปิดใจและให้ตนเองพร้อมกว่านี้
“งั้นภักดิ์ก็กลับเถอะ ขับรถดีๆ นะ”
“ครับคุณท่าน” ชายหนุ่มยกมือไหว้พิธานก่อนจะเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป คำตอบของเขายิ่งทำให้พิธานมั่นใจว่าภวิลหลงรักลูกสาวท่านและเขาจะดูแลเธอได้อย่างดีที่สุด