บทที่ 5
ความคิดของจือจือไม่ได้จดจ่ออยู่กับเซี่ยงชิงจวีนานนัก เพราะนางเหลือบไปเห็นบิดาเสียก่อน
หลินผู้พ่อหน้าตาซีดเผือด ริมฝีปากเขียวคล้ำ ต้องให้เซี่ยงชิงจวีช่วยประคอง ดูน่าเป็นห่วงอย่างมาก จือจือรีบวิ่งเข้าไปหา
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
บิดาโบกมือพลางฝืนยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก หิมะตกพื้นลื่น พ่อเดินไม่ระวังเลยลื่นล้มเท่านั้นเอง” พูดมาถึงตรงนี้ก็หันไปมองเซี่ยงชิงจวี “โชคดีคุณชายเซี่ยงมาเจอเข้า เลยพาข้ามาส่งบ้าน จือจือ เข้ามาพยุงที ได้นอนสักพักเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
เซี่ยงชิงจวีหลุบตา “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าเป็นคนประคองท่านหลินเข้าไปดีกว่า”
หลินผู้พ่อนิ่งคิด จือจือแรงน้อย ให้เซี่ยงชิงจวีช่วยประคองคงดีกว่าจริงๆ
จือจือรอจนชายหนุ่มประคองบิดามานอนที่เตียง แล้วบอกอย่างห่วงใยว่า “ท่านพ่อ ข้าจะไปตามหมอมานะเจ้าคะ ข้าเป็นห่วงท่านมาก” พูดจบนางก็หมุนตัวทำท่าจะเดินออกไป
“ช้าก่อน” เซี่ยงชิงจวีร้องเรียกนางไว้
จือจือหันมามองเขาอย่างฉงน
อีกฝ่ายไม่มองนาง กลับผินหน้าไปอีกทางแทน “ข้าจะไปตามหมอให้เอง แม่นางอยู่เฝ้าท่านหลินที่นี่เถิด”
จือจือยิ่งงุนงงกว่าเก่า จวบจนเซี่ยงชิงจวีเดินออกไป แล้วหลินหยวนที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้น “พี่ไม่หนาวหรือ”
นางถึงเพิ่งตระหนักว่าตนเองแต่งตัวอย่างไร จากนั้นก็ก้มหน้ามองชุดที่สวมอยู่ทีหนึ่ง “พี่จะไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้ล่ะ”
เมื่อจือจือเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเดินเข้ามาอีกที ท่านหมอหลี่ก็มาถึงแล้ว ทว่าเซี่ยงชิงจวีไม่ได้อยู่ด้วย ท่านหมอหลี่ดูอาการบิดานางแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก นอนพักสักหน่อยก็ลงจากเตียงได้แล้ว เพียงแต่ว่าระยะนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวมากนักก็พอ
เด็กสาวอดจะถามไม่ได้ระหว่างเดินออกไปส่งท่านหมอหลี่ “คุณชายเซี่ยงไปแล้วหรือเจ้าคะ”
อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ “ใช่ เห็นบอกว่าที่บ้านมีธุระต้องจัดการ เลยกลับไปก่อน”
ตกกลางคืน จือจือนอนแอบอยู่ใต้โปงผ้าห่มเช่นเดิม
ท่าทางผีสาวสองตนที่แอบดูเซี่ยงชิงจวีอาบน้ำจะถูกใจห้องนางเข้าเสียแล้ว ถึงได้มานั่งคุยกันบนขอบเตียงนางทุกคืน
“คิกๆ วันนี้เจ้าหนุ่มนั่นแต่งกายหล่อเหลาเสียจริง”
“ก็นั่นน่ะสิ แต่ข้าชอบตอนที่ไม่ใส่อะไรเลยมากกว่า”
“คิกๆ ข้าก็เช่นกัน แต่จะว่าไป วันนี้พอกลับไปแล้ว เขาดูแปลกๆ อยู่นะ ราวกับตอนกลางวันเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า ไม่รู้ว่ามีสตรีบ้านใดเสนอตัวให้อีกแล้วหรือเปล่า โอ๊ย แม่นางน้อย เจ้าเบียดข้านะ เขยิบเข้าไปข้างในหน่อยสิ”
“…” จือจือกระเถิบเข้าไปข้างในเงียบๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน นี่ แม่นางน้อย เจ้าปักถุงเหอเปาเสร็จหรือยัง”
“ใกล้แล้ว” จือจือตอบ แล้วรีบยกมือปิดปาก
“คิกๆ ข้าบอกแล้วอย่างไรล่ะว่านางได้ยิน”
“แม่นางน้อย ถ้าเจ้าชอบเจ้าหนุ่มนั่น ให้พวกเราสองคนช่วยไหมล่ะ”
นานทีเดียวกว่าเสียงถามอู้อี้จะดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม “…ช่วยอย่างไร”
“ขอแค่เจ้ายอมให้พวกเราสิงร่างครู่เดียว รับประกันได้เลยว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะรีบมาสู่ขอเจ้าทันที”
“ข้าขอปฏิเสธ” จือจือไม่โง่เสียหน่อย ถึงอย่างไรนางก็เคยเป็นวิญญาณล่องลอยมาก่อน วิญญาณล่องลอยที่มีจิตพยาบาทจะพยายามหาร่างสิงสู่ แต่เพื่อไม่ให้ผลบุญของตนถูกบั่นทอน เจ้าของร่างจะต้องยินยอมพร้อมใจเสียก่อน เพราะหากบั่นทอนผลบุญด้วยวิธีนี้ ชาติหน้าอาจต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
“เจ้า! ได้ ชาตินี้อย่าได้หวังจะแต่งงานกับเจ้าหนุ่มนั่นเลย”
จือจือพลิกตัวหันหลังให้ นอนได้แล้วๆ อยู่ดีๆ อย่าไปคุยกับวิญญาณล่องลอยเลย
อาการบาดเจ็บของหลินผู้พ่อดีขึ้น ถุงเหอเปาของจือจือก็ปักเสร็จแล้ว กระทั่งข้ออ้างที่จะนำไปให้เซี่ยงชิงจวี นางยังคิดเตรียมไว้พร้อมสรรพ
วันนี้นางบรรจงแต่งกายอย่างประณีต ก่อนออกจากบ้าน หลินหยวนที่เล่นลูกหนังอยู่ตรงลานเงยหน้าขึ้นมาเห็นนางแล้วชะงักไป
“พี่ใหญ่ วันนี้ท่าน…”
จือจือเกร็งเล็กน้อย แล้วก้มลงไปมองกระโปรงตนเอง แสร้งทำท่าเหมือนไม่มีอะไร “ทำไมหรือ”
“งามมากเลย” น้องชายยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันแปดซี่
หลินหยวนไม่ได้พูดปด
จือจือไม่มีความรู้เรื่องโคลงกลอน ทว่าชำนิชำนาญงานครัวและงานเย็บปักอย่างยิ่ง นางเกิดใหม่อีกครั้งก็เท่ากับว่าเคยใช้ชีวิตล่วงหน้ามาหลายปี ครอบครัวนางไม่ได้ร่ำรวย เสื้อผ้าส่วนใหญ่นางเย็บเองเสียมาก แม้แต่เสื้อผ้าของบิดาและน้องชายก็เช่นกัน แต่ก่อนเวลาเย็บเสื้อ นางจะเย็บตามแบบที่นิยมกันในยุคนั้น แต่นี่นางย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ จึงนำแบบเสื้อผ้าที่จะเป็นที่นิยมในอนาคตมาเย็บล่วงหน้า
เป็นต้นว่าชุดที่นางใส่ในวันนี้ ปัจจุบันกระโปรงติดระบายกำลังเป็นที่นิยม ชุดของนางปรับชายระบายให้เล็กและสั้นลง ลายปักที่แพร่หลายในยุคนี้เป็นลวดลายดอกไม้ใบหญ้า จือจือมีฝีมือปักผ้าเป็นเลิศ ทั้งยังเห็นว่าเซี่ยงชิงจวีมองตนเองเป็นสุภาพชน จะต้องชอบนกกระเรียนอย่างแน่นอน ตัวนางเองชอบสีสันฉูดฉาด จึงปักรูปนกกระเรียนสีแดงไว้บนกระโปรง จะงอยปากนกอยู่บนเนินอกพอดิบพอดี แต่งแต้มความเย้ายวนที่เอ่ยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ให้เข้มข้นยิ่งกว่าเก่า เสื้อแขนกว้างนางก็ปรับแขนให้สอบแคบลง ยังผลให้มือโผล่พ้นชายแขนเสื้อ แล้วสวมถุงมือนวมสีเขียวอ่อนป้องกันอากาศหนาวเย็น ถุงมือนวมนี้นางเอาเสื้อเก่ามาดัดแปลง จากนั้นก็ปักรูปนกกระเรียนลงไปเช่นกัน เพียงแต่นกกระเรียนบนถุงมือเป็นนกสีขาวตัวเล็กกระจิริด ถุงมือนวมแบบที่นางสวมอยู่ยังไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
นอกจากนั้นนางยังผูกผ้ากันลมสีน้ำเงินเข้มเพื่อกันหนาว สีสันตัดกันกับถุงมือนวมอย่างน่ามอง
ส่วนทรงผมนั้น เด็กสาวยุคนี้นิยมไว้หน้าม้าบางๆ ปิดหน้าผาก แต่จือจือไม่เอาด้วย เชิงผมตรงหน้าผากนางยื่นลงมาเป็นทรงแหลมสวย ชาติที่แล้ว กว่านางจะทำผมเปิดหน้าผากก็หลังจากเป็นอนุของราชบุตรเขย แต่คราวนี้ไม่ใช่ เพราะอีกสามปีให้หลัง สาวๆ ในเมืองนิยมเปิดหน้าผากกันทั้งนั้น นางจึงจะเปิดเสียตอนนี้เลย
จือจือคิดดีแล้วว่าจะยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิตตนเอง
นางอมยิ้มเอ่ย “พี่จะออกไปข้างนอกสักครู่ เจ้าอยู่บ้านดีๆ ล่ะ”
หลินผู้พ่อออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า ดังนั้นขอเพียงจือจือกลับมาให้เร็วพอก็จะไม่ถูกบิดาจับได้
จือจือตรงไปที่บ้านเซี่ยงชิงจวี ระหว่างทางก็คิดไปด้วยว่าจะชวนอีกฝ่ายคุยอย่างไรดี
จะเรียกเขาว่า ‘คุณชายเซี่ยง’ หรือจะทำใจกล้าเรียกว่า ‘พี่เซี่ยง’ ดีนะ
เด็กสาวหน้าแดงวาบ
คำหลังออกจะตีสนิทมากไปหน่อย เซี่ยงชิงจวีน่าจะไม่ชอบแบบนี้กระมัง
คิดๆ ไปก็เดินมาถึงบ้านชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว
จือจือหยุดยืนตรงหน้าประตูสักพัก ถึงค่อยก้าวเข้าไปเคาะประตู
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนมาเปิดประตู เป็นบ่าวสูงวัยในบ้านนั่นเอง
บุพการีของเซี่ยงชิงจวีจากโลกไปแล้วทั้งคู่ ในบ้านเหลือเพียงบ่าวเก่าแก่ผู้เดียว บ่าวผู้นี้อายุมากแล้ว จะมองอะไรต้องเพ่ง เขาพยายามเบิกตามองจือจือแล้วถาม “คุณชายมาหาใครหรือ”
จือจือผงะ ก่อนจะเห็นคนที่นางตั้งใจมาหาเดินเข้ามาข้างหลังบ่าว
เซี่ยงชิงจวีไม่ยอมมองนาง กลับเอาแต่มองบ่าว “ลุงจาง กลับเข้าไปพักผ่อนเถิด ตรงนี้เดี๋ยวข้าดูแลเอง”
“ได้ขอรับคุณชาย เช่นนั้นบ่าวจะเข้าไปดูในครัว”
เซี่ยงชิงจวีมองบ่าวเดินจากไป ก่อนจะหันมาหาจือจือ แต่มองชั่วแวบเดียวก็เบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมขมวดคิ้ว “แม่นางมีธุระอะไร”
เจอกันทีไร เหตุใดเขาถึงต้องขมวดคิ้วยามเห็นข้าตลอดเลยนะ ราวกับข้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองอย่างนั้น
จือจือคิดอย่างงุนงง แต่แล้วก็นึกถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของตนขึ้นมาได้
“คราวก่อนต้องขอบคุณคุณชายมากเรื่องท่านพ่อ ตอนนี้ท่านพ่อข้าหายดีแล้ว” นางพูดพลางล้วงถุงเหอเปาออกมาจากถุงมือ “ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เลยเย็บถุงเหอเปาขึ้นมาใบหนึ่ง ถุงใบนี้มีกลิ่นหอมช่วยให้รู้สึกสงบผ่อนคลายด้วย เห็นท่านพ่อบอกว่าคุณชายเซี่ยงอ่านหนังสือจนดึกดื่นทุกวัน พกถุงเหอเปาหอมนี้ติดตัวไว้ก็ไม่เลวนะเจ้าคะ”
เด็กสาวยื่นถุงไปให้ โชคดีนางออกเรือนมาแล้วครั้งหนึ่ง หากเป็นชาติก่อน ป่านนี้คงหน้าแดงจนดูไม่ได้ มือไม้สั่น คิดแต่อยากวิ่งหนีลูกเดียว
น้ำเสียงสุภาพทว่าห่างเหินของเซี่ยงชิงจวีดังเข้าหู
“ข้าก็แค่ผ่านไปเจอเท่านั้น เรื่องเล็กน้อยเท่านี้แม่นางไม่ต้องใส่ใจก็ได้ หากไม่มีธุระอื่น ข้าขอตัวกลับไปท่องหนังสือต่อก่อนล่ะ” พูดจบเขาก็ทำท่าจะปิดประตู
จือจือมองหน้าเขาพลางหลุดปากโพล่งออกไปอย่างร้อนรน “ถึงอย่างไรปีหน้าท่านก็ยังสอบไม่ติด ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้…”
เซี่ยงชิงจวีหันมามองทันที
จือจือฝืนยิ้มเจื่อนๆ
ท่านแม่ ในที่สุดบุรุษที่ลูกพึงใจก็ยอมหันมามองลูกตรงๆ เสียที
แต่…เหตุใดสายตาของเขาถึงได้ดูน่ากลัวเหลือเกิน
บทที่ 6
หลินหยวนคิดว่าพี่สาวล้มป่วยอีกแล้ว เพราะตั้งแต่กลับมาจากข้างนอกนางก็เอาแต่ถอนหายใจตลอด
นางถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า บางครั้งยังส่ายหน้า
“พี่ใหญ่ เป็นอะไรไป” เด็กชายขมวดคิ้วมองพี่สาว
จือจือเหลือบมองน้องชาย แล้วถอนหายใจอีกเฮือก จากนั้นก็เอื้อมมือไปรีดหว่างคิ้วเขาให้เรียบ “เสี่ยวหยวน พอเจ้าโตเป็นหนุ่ม อย่ามองเด็กหญิงเช่นนี้นะ”
“หา?”
หลินหยวนรู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจพี่สาวมากขึ้นทุกที แต่จือจือไม่ยอมเล่าให้น้องชายฟังแน่ว่าเกิดอะไรขึ้น
แค่คิดถึงสายตาที่เซี่ยงชิงจวีมองนางในตอนนั้นนางก็เจ็บปวดแล้ว นางพูดความจริงแท้ๆ แต่สายตาที่อีกฝ่ายมองนางกลับแฝงไว้ซึ่งความเกลียดชัง
จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ก็ปิดประตูใส่หน้านางตรงๆ
เฮ้อ…
ที่น่าหงุดหงิดที่สุดไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็นวิญญาณล่องลอยเจ้าประจำสองตนต่างหาก
มานั่งคุยกันบนเตียง ซ้ำยังหัวเราะเย้ยหยันนางอยู่ได้ทุกคืน
“คิกๆ เจ้าว่าเหตุใดถึงได้มีเด็กโง่เพียงนี้ได้นะ ถึงกับไปบอกคนเขาตรงๆ ว่าท่านสอบไม่ผ่านหรอก”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ตอนที่ป่วยคงไข้ขึ้นจนสมองเพี้ยนไปกระมัง”
“คิกๆ หน้าอย่างนางหากทำให้เจ้าหนุ่มนั่นชอบพอได้ ข้ายอมเขียนชื่อตนเองกลับหัวเลยเอ้า”
จือจือหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ใต้ผ้าห่ม
“จริงสิ ตอนนั้นเจ้าโด่งดังไปทั้งเมืองหลวงไม่ใช่หรือ สอนกลเม็ดเด็ดพรายนางหนูนี่หน่อยปะไร ข้าเห็นแล้วร้อนใจแทน”
“คิกๆ หากนางหนูนี่ยอมโผล่หน้าออกมา ข้าจะสอนไม้เด็ดให้สักสองสามอย่างก็ได้” วิญญาณล่องลอยที่พูดอย่างนั้นลดเสียงลงกระซิบกระซาบ “ไม้เด็ดที่ทำให้บุรุษปฏิเสธนางไม่ได้”
พูดจบวิญญาณทั้งสองก็หันไปจ้องผ้าห่มเขม็ง และแล้วหัวของเด็กสาวก็ค่อยๆ โผล่ออกมาอย่างที่คิด
จือจือโผล่หัวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะผงะไปกับสิ่งที่ได้เห็น เพราะวิญญาณล่องลอยทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านางงดงามหมดจด ทั้งที่เสียงพูดเป็นเสียงของหญิงชรา
โดยเฉพาะวิญญาณที่อยู่ทางซ้าย จือจือไม่เคยเห็นใครงามเท่านั้นมาก่อน ถ้าจะให้หาคนมาเทียบด้วย ก็คงมีแต่องค์หญิงตัวปลอมผู้นั้นที่พอจะสูสี
“นางหนู ออกมาได้แล้วหรือ” วิญญาณที่อยู่ทางขวามองนางยิ้มๆ
วิญญาณที่อยู่ทางซ้ายอมยิ้มบ้าง “หนุ่มรูปงามสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด มีหรือนางจะทนไหว จริงหรือไม่เล่า”
จือจือยังคงมองดวงวิญญาณตรงหน้าอย่างหวาดระแวง กลัวว่าทั้งคู่จะกลายเป็นหน้าผีแบบไม่ให้ตั้งตัว ขณะเอ่ยทวงเสียงอ่อย “พวกท่านบอกว่าถ้าข้าโผล่ออกจากผ้าห่มจะสอนวิธีมัดใจคุณชายเซี่ยงให้ข้า”
วิญญาณล่องลอยที่อยู่ทางซ้ายยกมือป้องปากหัวเราะ “สตรีเรากลัวอะไรที่สุด เจ้ารู้หรือไม่”
“อะไรหรือ” จือจือถามอย่างไม่เข้าใจ
“พวกบุรุษมีแต่ต่ำช้าทั้งนั้น ยิ่งเราตามตื๊อเท่าไร บุรุษยิ่งไม่ชอบ โดยเฉพาะบุรุษที่มองตัวเองเป็นวิญญูชนที่ตั้งอยู่ในศีลธรรมอย่างเจ้าหนุ่มนี่ มักจะทำตัวสุขุมเรียบร้อย ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ แม้ความจริงจะชอบแทบขาดใจ ก็ต้องสะกดจิตตัวเองว่าเกลียด” วิญญาณล่องลอยทางซ้ายเขยิบเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด จือจือกำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจนลืมถอยหนี
“รู้หรือไม่ว่าบุรุษชอบสตรีแบบใดที่สุด”
“สตรีแบบใด”
วิญญาณดวงนั้นคลี่ยิ้มงามเย้ายวน “บุรุษฉลาดชอบสตรีโง่ บุรุษโง่ชอบสตรีฉลาด แต่ไม่ว่าบุรุษจะโง่หรือฉลาดก็ล้วนชอบสตรีรูปงามไม่ต่างกัน” พูดพลางเอื้อมมือมาหาพวงแก้มจือจือ ทั้งที่สัมผัสไม่ได้ แต่จือจือกลับรู้สึกว่ามือข้างนั้นกำลังลูบไล้ใบหน้าตน วิญญาณดวงนี้งดงามเหลือเกิน งามเสียจนนางอดไม่ได้ที่จะมองจ้อง
อันที่จริงสตรีก็ชอบมองสตรีหน้าตาสะสวยเช่นกัน ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวจือจือ
อากัปกิริยาของอีกฝ่ายดูมีเสน่ห์ตรึงสายตาทุกความเคลื่อนไหว ทั้งที่เสียงแก่หง่อมออกอย่างนั้น ทว่าแค่ชม้ายตาทีเดียวก็สะกดใจให้ลุ่มหลงได้แล้ว
“เจ้ามีรูปโฉมมากพอแล้ว แต่เพราะเหตุใดเจ้าหนุ่มเซี่ยงถึงยังไม่หวั่นไหวเล่า ก็เพราะเจ้าให้น้อยเกินไป เจ้ายังให้ความงามแก่เขาไม่มากพอ หากความงามของเจ้าสะกดใจเขาได้ในแวบเดียว รูปโฉมของเจ้าก็เข้าไปในความฝันเขา วนเวียนอยู่ในความคิดเขาทุกค่ำคืน จนเขาทำตัวสูงส่งต่อไปไม่ได้” วิญญาณล่องลอยชักมือกลับไป สีหน้าดูสุขุมขึ้นเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้าอ่อนหัดเกินไป คนอื่นแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ยังไม่เจนจัดพอ”
“แล้ว…ต้องทำเช่นไรถึงจะ…”
ดวงเนตรสุกใสของวิญญาณทางซ้ายมือเหลือบมองนาง “ให้ข้ายืมร่างสักครู่สิ แล้วข้าจะช่วยเจ้า”
จือจือได้สติทันควัน พวกวิญญาณล่องลอยมีแต่จ้องจะหลอกนางทั้งนั้น พูดมานานสองนาน ที่แท้ก็หมายจะใช้คารมกล่อมนางจนยอมให้ยืมร่างนั่นล่ะ นางขึงตาใส่ฝ่ายตรงข้าม แล้วทำท่าจะมุดกลับเข้าใต้ผ้าห่ม แต่วิญญาณดวงนั้นเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนเสียก่อน
“ข้าไม่ได้คิดร้ายนะ ข้าแค่อยากไปหาคนผู้หนึ่งเท่านั้น เขาใกล้ตายแล้ว หากข้ายังไม่ไป ก็จะไม่มีวันได้พบเขาอีกแล้ว”
เด็กสาวชะงัก “แล้วตอนนี้ท่านไปหาเขาไม่ได้หรือ”
สีหน้าของวิญญาณล่องลอยสลดลงทันที “บ้านเขาปิดยันต์ไว้เต็มไปหมด พ่อเขาเชิญต้าซือมาปิดให้ ข้าจึงเข้าไปไม่ได้”
วิญญาณล่องลอยทางขวามือถอนใจเฮือก “นางหนู ให้นางยืมร่างหน่อยเถิดนะ ข้าขอรับประกันด้วยศักดิ์ศรีผีเลยว่านางไม่มีวันทำเรื่องเลวร้ายใดๆ แน่นอน คนที่นางอยากไปพบเคยเป็นเทพ แค่ลงมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อใช้กรรม เมื่อตายแล้วก็จะกลับไปเป็นเทพดังเดิม ไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว อีกทั้งเขายังจะจำนางไม่ได้ด้วย”
จือจือเริ่มลังเล ขณะมองวิญญาณล่องลอยทั้งสอง
ดวงตาของวิญญาณล่องลอยที่อยู่ทางซ้ายเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เด็กสาวหวนนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนเองกลายเป็นวิญญาณล่องลอย นางเองก็อยากเจอครอบครัวแทบขาดใจ เชื่อว่าวิญญาณตนนี้ก็คงเหมือนกัน
จือจือจึงพยักหน้าตอบรับในที่สุด
กลางดึก ดวงดาวบนฟ้าเปล่งแสงระยิบระยับดุจอัญมณีที่ถูกเส้นไหมล่องหนร้อยไว้ด้วยกัน
“อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ” เสียงคนเคาะเกราะดังแว่วมา
ทั้งที่เป็นยามดึกสงัด กลับมีเด็กสาววัยดรุณเดินไปตามถนน
เด็กสาวผู้นั้นสวมเพียงชุดกระโปรงท่ามกลางอากาศหนาวจัดในยามราตรี พื้นรองเท้าก่อเกิดเสียงแผ่วๆ ยามย่างย่ำไปตามแผ่นอิฐปูพื้น ในมือถือโคมไฟส่องทางข้างหน้า
แม้จะถูกสิงร่าง จือจือยังคงมีสติรับรู้ สามารถคุยกับวิญญาณล่องลอยที่อยู่ข้างๆ ได้ด้วยซ้ำ
วิญญาณตนนั้นให้จือจือเรียกตนเองว่าพี่เสิ่น
“พี่เสิ่น ท่านตายเมื่อไร”
พี่เสิ่นเหมือนต้องใช้เวลาทบทวนนานทีเดียว “น่าจะตั้งแต่ฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบันเพิ่งขึ้นครองราชย์”
“หา?!” ฮ่องเต้รัชกาลนี้ครองราชย์มาสามสิบปีแล้ว อีกฝ่ายยังกล้าให้นางเรียกตนเองว่า ‘พี่’ อีกหรือ
พี่เสิ่นหัวเราะคิก “ข้าตายตั้งแต่ยังสาว เพิ่งจะอายุแค่สิบหกปีเท่านั้น”
วิญญาณล่องลอยที่สิงร่างจือจือดูเหมือนจะทนพวกนางสองคนไม่ไหวหันมาเอ็ด “เงียบหน่อยสิ”
พี่เสิ่นยังหัวเราะคิกคักไม่เลิก “ทำไม จะได้ไปเจอชายคนรักเลยตื่นเต้นขึ้นมาหรือ ข้าบอกไว้เลยนะ ร่างนี้เป็นของจือจือ ห้ามทำอะไรส่งเดชเชียว อย่าได้คิดจะขึ้นเตียงเป็นอันขาด”
จือจือได้ยินเช่นนั้นก็พูดอะไรไม่ออก “…”
พี่เสิ่นพูดจบก็หันมาปลอบเด็กสาว “วางใจเถิด คนรักของนางป่วยหนัก ทำอะไรไม่ไหวหรอก”
ระหว่างนั้นพวกนางก็มาหยุดอยู่หน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง
จือจือพบว่าคฤหาสน์หลังนี้หรูหรางดงามอย่างยิ่ง ดูท่าจะเป็นบ้านคหบดี
“พวกท่านจะเข้าไปอย่างไร” นางเอ่ยถาม
พี่เสิ่นยิ้ม “วางใจได้เลย มีนางอยู่เสียอย่าง”
เพิ่งจะพูดเช่นนั้น จือจือก็สัมผัสได้ว่าตนเองลอยขึ้นจากพื้น นางตกใจเสียไม่มีดี
“นี่คือวิทยายุทธ์ คิดไม่ถึงล่ะสิ” พี่เสิ่นกล่าว
พวกนางเหาะเข้าไปข้างในอย่างง่ายดาย
วิญญาณลอยล่องที่สิงร่างนางคุ้นที่คุ้นทางเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ว่าต้องไปทางใด จือจือสังเกตเห็นว่าคฤหาสน์นี้ปิดยันต์เต็มไปหมดทุกซอกมุม
พี่เสิ่นเข้ามาไม่ได้ เลยต้องรออยู่ข้างนอก
เมื่อมาถึงหน้าเรือนหลังหนึ่ง นางก็หยุดยืน
ความรู้สึกของอีกฝ่ายเหมือนจะสื่อมาถึงจือจือ มีทั้งความกระวนกระวาย ความกลัว และความเศร้าเสียใจ
วิญญาณล่องลอยยื่นมือออกไปผลักประตู พริบตาที่บานประตูเปิดออกจากกัน กลิ่นยาฉุนเข้มก็ลอยออกมาจากข้างในทันที
จือจือเพิ่งค้นพบข้อสังเกตที่แสนแปลกประหลาด คฤหาสน์ใหญ่โตออกอย่างนี้ แต่กลับไม่เห็นบ่าวไพร่แม้แต่คนเดียว
“อาฉินหรือ”
ข้างในเรือนไม่ได้จุดตะเกียง
เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังออกมาจากความมืด แม้จะอ่อนระโหย แต่ความกังวานทุ้มนุ่มน่าฟังก็ไม่ถูกบั่นทอนลงแต่อย่างใด
“อาฉิน เจ้าใช่ไหม เจ้ามารับข้าแล้วใช่หรือไม่”
จือจือคิด ที่แท้นางก็ชื่ออาฉิน
“แค่กๆ” เสียงไอดังออกมาจากความมืด ตามมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะคล้ายสมเพชตนเอง “น่ากลัวว่าลมจะพัดประตูเปิดเสียกระมัง ข้าก็นึกไปว่าเจ้ามาหาข้า ดูท่า…เจ้าคงไม่อยากมาหาข้าหรอก…”
“ข้าเอง” อาฉินตอบกลับไป
เสียงของบุรุษผู้นั้นสะดุดลงทันที
อาฉินก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน “เป็นข้าเอง ข้ามาหาท่านแล้ว”
โคมไฟที่นางถืออยู่ในมือช่วยให้แสงสว่าง แต่ละย่างก้าวที่นางเดินลึกเข้าไปในเรือน สายตาของจือจือก็มองเห็นชัดเจนขึ้นทีละน้อย จวบจนอาฉินเดินเข้าไปถึงหน้าเตียง จือจือก็เห็นคนที่นอนอยู่บนนั้นได้ถนัดตา
นางประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นชายหนุ่ม เพราะเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่สะดุดตาตรงที่กำลังร้องไห้ น้ำตาเอ่อท้น แล้วไหลกลิ้งลงมาตามแก้ม
“ขนาดข้ายังไม่ร้องเลย ท่านจะร้องไปไยกัน” อาฉินเอ่ยถามเศร้าๆ
ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตา แล้วเหลือบมองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า “สามปีแล้ว ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที ดูเหมือนเจ้าจะเปลี่ยนไปนะ”
“นี่ไม่ใช่ร่างของข้า ข้าขอยืมมาจากเด็กสาวคนหนึ่ง เพื่อมาดูว่าท่านตายหรือยัง”
ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะเบาๆ “ใกล้แล้วล่ะ”
อาฉินเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี”
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรอีก มีเพียงเสียงไอของชายหนุ่มดังขึ้นเป็นพักๆ
สุดท้ายแม้แต่เสียงไอก็นิ่งสนิท
จือจือนั่งกอดเข่าอยู่ในหัวใจตนเอง แล้วพลันสัมผัสได้ว่าอะไรบางอย่างหยดลงกระทบใบหน้า นางเงยหน้าขึ้นมอง แต่ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
จากนั้นเด็กสาวก็หลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกที นางก็กลับมาอยู่บนเตียงของตนเองแล้ว
จดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ในนั้นเขียนไว้แค่ประโยคเดียว
‘ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะไปเกิดแล้ว ขอมอบของสิ่งหนึ่งให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะชอบ’
มอบของให้? ของอะไร
จือจือรื้อค้นห้องตนเองอยู่นานยังหาไม่เจอ
จากนั้นเสียงบิดาเรียกกินข้าวเช้าก็ดังขึ้น นางถึงได้เดินออกไป
หลินผู้พ่อเอ่ยถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร “เมื่อวานคุณชายสกุลหูถึงแก่กรรม วันนี้พ่อจะเอาของไปมอบให้คนในครอบครัวเขาเสียหน่อย หลายปีก่อนคุณชายหูเคยช่วยพ่อไว้ครั้งหนึ่ง เจ้าตัวคงลืมพ่อไปนานแล้ว แต่ตามมารยาทก็ควรไปร่วมไว้อาลัย พวกเจ้าอยู่บ้านนะ”
ดูเหมือนคฤหาสน์ที่นางไปเมื่อคืนจะเป็นคฤหาสน์สกุลหูหลังนี้
หลินผู้พ่อถอนหายใจ “น่าเสียดายจริง เป็นคนที่เก่งกาจมากความสามารถแท้ๆ กลับมาด่วนจากไปเร็วถึงเพียงนี้” เขารำพันแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าลูกๆ จึงรีบยั้งปาก
จือจืออยากรู้ขึ้นมาทันใดว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณชายหูกับอาฉิน
แต่ตอนนี้อาฉินไปเกิดใหม่แล้ว เหลือแต่พี่เสิ่นผู้นั้น
พี่เสิ่นบอกว่าตนก็ไม่รู้ละเอียดเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งคู่กันแน่
จือจือนอนพังพาบอยู่บนเตียง มองพี่เสิ่นนั่งหวีผม “แล้วท่านตายได้อย่างไร”
“ข้า? ข้าตายได้น่าสังเวชมาก เจ้าอยากรู้หรือ”
เด็กสาวพยักหน้าตอบ
“ข้างามเกินไป เลยกลายเป็นนำภัยมาถึงตน ตอนนั้นบุรุษสามคนตีกันแทบเป็นแทบตายเพื่อแย่งข้า” พี่เสิ่นทำหน้ารำลึกความหลัง
จือจือเบิกตากว้าง “แล้วอย่างไรต่อ”
“จากนั้น…ข้าก็ตื่นจากฝันน่ะสิ” พี่เสิ่นหัวเราะร่วน
จือจือเงียบไป จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้น “ข้าจะนอนแล้ว”
ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า “ข้าก็ควรจะไปดูเจ้าหนุ่มเซี่ยงอาบน้ำได้แล้ว”
“…” จือจือพูดอะไรไม่ออก
พี่เสิ่นโน้มหน้าเข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นประกายอยู่ในดวงตา “ข้างล่างใหญ่มากเชียวล่ะ”
หา?
อะไรใหญ่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ต.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.