ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 29
บทที่ 29 จัดระบบระเบียบ
ถึงแม้จะซ่อมเสร็จแล้ว เฮ่อหลันฉือก็ไม่อยากทรมานเตียงหลังนั้นอีก ทุกครั้งที่นอนลงไปยังรู้สึกกลัวว่ามันจะพังลงมาอยู่ตลอด
ลู่อู๋โยวอยากจะแนะนำสถานที่อื่นแก่นางแต่ยังไม่สำเร็จ และช่วงเวลาต่อจากนี้เขาก็มีงานยุ่งมากเช่นกัน
เรื่องการขุดคลองขยายแม่น้ำนั้นพูดง่าย แต่เพราะลู่อู๋โยวยังอยากจะสร้างทำนบในแม่น้ำอีกด้วย เพื่อป้องกันน้ำท่วมที่อาจจะเกิดจากการขยายแม่น้ำ จึงจำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ
เจ้าหน้าที่ที่ท่านตาใหญ่ของเขาส่งมาแซ่เฉิง มีฐานะเป็นซิ่วไฉ ดังนั้นตำแหน่งจึงไม่สูงนัก เป็นเพียงผู้ช่วยคนหนึ่งของกรมโยธา ตัวคนก็เชื่อฟังคำสั่ง ไม่มีความเห็นเป็นของตนเอง แต่พอพูดว่าจะขุดขยายแม่น้ำสร้างทำนบเช่นไร ดวงตาก็เปล่งประกายทันที พูดอย่างมีหลักการอย่างยิ่ง
แม่น้ำของเมืองสุยหยวนจะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ยาวทั้งสิ้นสามสิบกว่าหลี่ การสร้างทำนบยังคงเป็นวิธี ‘ใช้แรงน้ำเซาะโคลนทราย ระบายน้ำส่วนเกินกันน้ำท่วม’ ของราชวงศ์ก่อน โดยที่นาที่มีดินตะกอนทับถมจะยิ่งอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การทำการเกษตรมากขึ้น ถึงแม้ปริมาณงานก่อสร้างจะมาก แต่เป็นเรื่องดีที่ได้ประโยชน์มากมายในคราวเดียวจริงๆ
ลู่อู๋โยวนำคนไปสำรวจพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำอยู่พักหนึ่ง ส่วนงานของเขาในศาลมีเฮ่อหลันฉือช่วยทำแทนชั่วคราว
ผู้ช่วยหลิ่วยังแปลกใจมาก ถึงแม้จะมีที่ปรึกษาช่วยงานชั่วคราวเช่นกัน แต่ฮูหยินของลู่อู๋โยวผู้นี้ดูแล้วไม่เหมือนเท่าไรนัก
นางงดงามราวกับองค์พระโพธิสัตว์ คนที่มาแจ้งความถกเถียงกันที่ศาลไม่ว่าจะเป็นชายหญิง คนชราคนอายุน้อย เห็นนางนั่งอย่างอ่อนโยนอยู่ตรงนั้น แม้แต่คำถามก็พูดอย่างแผ่วเบา ทุกคนจึงต่างใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว รู้สึกกระดากใจที่จะเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง ราวกับกลัวว่าจะรบกวนการหายใจของเทพธิดา
ในตอนแรกเฮ่อหลันฉือรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง บังคับให้ตนเองสงบสติลง แต่ไม่นานนางก็ค่อยๆ ปรับตัวได้ สามารถนั่งอยู่ตรงนั้นได้อย่างสงบนิ่ง ทนรับสายตาของทุกคน สอบถามรายละเอียดคดี หรือให้คำแนะนำการจัดการลงโทษ อย่างไรเสียเจ้าหน้าที่ในศาลก็ค่อยๆ ถูกเปลี่ยนเป็นคนของลู่อู๋โยวแล้ว
ขุนนางราชสำนักที่แท้จริงจะมีระดับขั้น มีชุดขุนนาง และมีเอกสารรับตำแหน่งจากราชสำนัก แต่เจ้าหน้าที่เล็กๆ อย่างเช่นทหารหรือเจ้าหน้าที่แรงงานในศาลนี้ไม่ต้องมี โดยทั่วไปขุนนางท้องถิ่นสามารถแต่งตั้งเองได้
เดิมทีก็ไม่มีใครคอยดูแลเรื่องงานอยู่แล้ว ผู้ช่วยหลิ่วก็หลับตาข้างหนึ่ง เฮ่อหลันฉือถึงขั้นยังดูแลห้องเก็บเอกสารสำคัญในศาลอีกด้วย เอกสารติดต่อทางบัญชีต้องผ่านนางทั้งหมด
หลังจากเฮ่อหลันฉือทำงานเสร็จยังคิดจะกินอาหารมากสักนิด
เนื้อแพะย่างครั้งก่อนอร่อยมากจริงๆ นางไหว้วานชิงเยี่ยไปหาเครื่องเทศและลูกสมอที่คล้ายกันมา ทั้งยังให้ซื้อเนื้อแพะมาอีกด้วย ก่อนจะสอบถามแม่ครัวในที่ว่าการ จากนั้นก็พับแขนเสื้อ ใส่ผ้ากันเปื้อน แล้วหั่นๆ สับๆ อยู่ในครัวของที่ว่าการ
หลังจากจัดการเนื้อเสร็จแล้วก็ใช้แท่งเหล็กเสียบเนื้อ ตั้งแท่นย่าง แล้วนำเนื้อไปย่างบนกระถางไฟ
ไม่นานก็มีกลิ่นหอมโชยออกมาจากลานชั้นในของเรือนพักขุนนาง เฮ่อหลันฉือนั่งอยู่ข้างกองถ่าน ผิงมือที่แดงเล็กน้อย ซวงจือที่ช่วยเป็นลูกมือให้นางก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องเช็ดน้ำลาย พูดด้วยสีหน้าแฝงการรอคอย
“ท่านเขยเมื่อไรจะกลับมาเจ้าคะ”
เฮ่อหลันฉือคำนวณจากหลายวันก่อนหน้า “น่าจะเป็นยามโหย่วหรือยามซวีกระมัง”
นางยื่นเนื้อที่ย่างเสร็จแล้วหนึ่งแท่งให้ซวงจือ นางคิดว่าน่าจะย่างได้อีกหลายชิ้น ลองดูว่าจะอร่อยหรือไม่
เวลานี้ลมสงบและไม่ถือว่าหนาวเกินไป นางสวมชุดกระโปรงนวมตัวหนา ร่างกายถูกไฟอังจนอบอุ่น ยามเงยหน้าขึ้นก็เห็นเมฆลอยเอื่อยบนท้องฟ้า ไม่มีความมืดครึ้ม ใจนางสงบมากเช่นกัน เกิดความรู้สึกเบิกบานของการมีเวลาว่างจากงานยุ่ง ถึงขั้นบิดขี้เกียจ อยากจะเอนพิงเสียตรงนั้น
โจวหนิงอันตามกลิ่นมา “อ๊ะ พี่สะใภ้ ข้าชิมได้หรือไม่”
เด็กหนุ่มผู้นี้บางครั้งก็ตามลู่อู๋โยวไปดูที่ริมแม่น้ำ แต่ส่วนใหญ่จะถูกจัดให้ไปเรียนหนังสือ พอได้ยินว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่หกหยวนก็มีบัณฑิตจำนวนไม่น้อยเสนอตัวมาบรรยายตำราให้เขาทันที แต่ตัวเขาเองน่าจะไม่ค่อยมีความสุขนัก
เฮ่อหลันฉือขยับที่ว่างให้อีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วพูดตามจริงว่า “แต่ข้าเพิ่งย่างเป็นครั้งแรก ยังไม่มั่นใจว่ารสชาติดีหรือไม่”
โจวหนิงอันขยับไปนั่งลงแต่โดยดีแล้วยื่นมือไปหยิบแท่งเหล็กเสียบเนื้อ “โอ๊ย ร้อนมาก! ซี้ด…”
เขาลูบติ่งหูพลางมองไปโดยรอบแล้วหยิบผ้าเช็ดโต๊ะผืนหนึ่งขึ้นมากันมือ หยิบเหล็กเสียบแล้วเป่าเนื้อให้เย็น ไม่นานก็กินจนปากเต็มไปด้วยน้ำมัน ทั้งยังพูดประจบเยินยอ
“อร่อย! พี่สะใภ้ถ่อมตัวเกินไปแล้ว!”
“เจ้ามั่นใจว่าอร่อยจริงหรือ”
“แน่นอน!” โจวหนิงอันพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “ชีวิตพี่ชายช่างมีความสุขจริงๆ ข้าว่าท่านไม่ต้องเก็บไว้ให้เขาดีหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
“ข้ากำลังโต มีเท่าไรก็กินเท่านั้น! อย่างไรเสียเขาตัวโตถึงเพียงนั้นแล้ว น่าจะไม่ต้องใช้…”
เฮ่อหลันฉืออดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “เจ้าเป็นน้องชายเขาจริงๆ หรือ”
“ใช่แน่นอน แต่ข้าเสแสร้งไม่เก่งเหมือนพี่ชาย ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาในจวนของพวกเรา เขาเรียกได้ว่าเป็นคนที่งามสง่า สุภาพอ่อนโยน ทำให้ญาติฝ่ายหญิงทุกคนในจวนหลงใหลกันหมด ต่างคิดว่าเขามีชาติกำเนิดยากจน การที่จะได้เรียนหนังสือนั้นไม่ง่ายนัก ซ่อนหางไว้อย่างมิดชิดมาก ต่อมา…”
จังหวะนั้นลู่อู๋โยวก้าวเข้าประตูใหญ่มาพอดี เขาได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างที่ตลบอบอวล จากนั้นก็ได้ยินคำพูดใส่ร้ายตนเอง เขาจึงยกตัวเด็กเลวที่กินจนปากเต็มไปด้วยน้ำมันแล้วโยนออกไปทันทีโดยไม่คิดอะไร
หญิงงามด้านข้างกลับนั่งถือเหล็กเสียบอยู่ข้างกระถางไฟด้วยสีหน้าไร้เดียงสาแล้วถามเขาว่า “จะมาลองชิมหรือไม่”
ชายกระโปรงของนางติดพื้น สองขาเรียวยาวพับไปด้านข้าง แม้จะเป็นฤดูหนาว รูปร่างของนางก็ยังคงดึงดูดใจ
ลู่อู๋โยวรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ค่อยแน่ใจว่านางต้องการให้เขาชิมอะไรกันแน่
โชคดีที่เขาดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยว่า “รอข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้าพลางตอบรับ “อืม”
ลู่อู๋โยวเพิ่งกลับมาจากริมทำนบ รองเท้าเต็มไปด้วยดินโคลน ชายเสื้อสีเข้มก็มีดินโคลนติดเล็กน้อยเช่นกัน ตัวเต็มไปด้วยฝุ่นผง ระยะนี้เขามักจะมีสภาพเช่นนี้ เวลาที่ลำบากจริงๆ จะไม่พานางไปด้วย
หลังจากลู่อู๋โยวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ล้างมือแล้วมานั่งลง เฮ่อหลันฉือยังคงดูสบายอารมณ์อย่างมาก เท้าคางข้างหนึ่ง รอเขามาลิ้มรส
ลู่อู๋โยวกลืนเนื้อลงไป จากนั้นก็เอ่ยว่า “เจ้าขโมยวิชาได้เร็วเกินไปแล้วกระมัง”
เฮ่อหลันฉือยิ้มจนตายกโค้งเล็กน้อย “เพราะข้า…” นางคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ “ฉลาดมากเหมือนกัน”
“เหตุใดจู่ๆ เจ้าจึงภูมิใจเช่นนี้”
เฮ่อหลันฉือลดมือลง จัดชายกระโปรงแล้วกล่าวว่า “แค่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ข้าทำได้มีมากมาย เมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดว่าจะทำได้”
ดูเหมือนอยากทำอะไรก็สามารถทำได้จริงๆ
Comments
