ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 31
บทที่ 31 เสี่ยงตายป้องกันเมือง
ภายในวังหลวง
ซุ่นฮ่องเต้ยังคงไม่เข้าประชุมราชสำนัก เพียงอ่านเอกสารที่ราชเลขาธิการนำถวายอยู่บนเตียง แม้แต่ฎีการ้องเรียนและทัดทานก็วางไว้ด้านข้างทั้งหมด
ผู้ที่ปรนนิบัติดูแลอาการป่วยข้างกายคือพระชายาที่อ่อนโยนเรียบร้อยคนหนึ่ง รูปโฉมงดงามและนุ่มนวลราวกับสายน้ำ ยังฉายความสูงสง่าออกมาอีกด้วย ทว่านางไม่ใช่ลี่เฟยผู้ที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในหกตำหนัก เป็นพระมารดาขององค์ชายสามนามว่าจิ้งเฟย
นางมีชาติกำเนิดเหนือกว่าลี่เฟย ย่อมมีความนอบน้อมที่ไม่สะทกสะท้านต่อความโปรดปรานหรือเกลียดชัง
ซุ่นฮ่องเต้พอใจอย่างยิ่งในความโอนอ่อนเชื่อฟังของนาง เขายกมือคลึงหว่างคิ้ว ให้นางอ่านเอกสารให้ฟัง
เพราะการฟ้องร้องระยะนี้ทำให้เขารำคาญมากขึ้นทุกที ลงโทษก็ลงโทษแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว แต่ขุนนางราชสำนักยังคงต้องการให้เขาแต่งตั้งรัชทายาทในเร็ววัน นอกจากนี้ยังพูดถึงความผิดในอดีตของผิงเจียงป๋อไม่จบสิ้น
ดูเหมือนว่าการปลดบรรดาศักดิ์และยึดเงินทองไม่สามารถทำให้พวกเขาพอใจได้
ซุ่นฮ่องเต้อ่านฎีกาสองฉบับอย่างอดทน อ่านจบก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง เขาโปรดปรานลี่เฟยก็ส่วนโปรดปราน แต่ไม่ถึงขั้นโง่เขลารักทุกอย่างของนางโดยสิ้นเชิง รู้ว่าพี่ชายนางคนนี้ไร้ความสามารถ แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องเลวร้ายที่อีกฝ่ายเคยทำจะมีมากมายเช่นนี้
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาอาจจะตัดสินโทษถูกค้นบ้านยึดทรัพย์ไปแล้ว แต่ติดที่ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยามาหลายปี เขาเองก็รู้สึกใจอ่อนต่อลี่เฟยมาตลอด
พอนางร้องไห้ เขาก็มักจะนึกถึงเรื่องที่วัดชิงเฉวียนหลายปีนั้น สายตาดูถูกและความทรมานที่นางทนรับแทนเขา ต่อให้ใครถามก็ไม่ยอมบอกว่าบิดาของเด็กเป็นใคร และยามดึกสงัดคนเงียบสงบก็จะขดตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา กอดเอวเขาอย่างพึงพอใจ พูดเสียงอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม ‘ขอเพียงพระองค์ทรงจดจำหม่อมฉันใส่พระทัยไว้ก็พอ’
เขาไม่อยากให้องค์ชายใหญ่ยึดอำนาจ แต่จะแต่งตั้งองค์ชายรองท่ามกลางแรงกดดันของเหล่าขุนนางหรือไม่ยังเป็นปัญหา
เดิมทีอาจจะพอมีความเป็นไปได้ อย่างไรเสียทั้งสองคนล้วนเป็นโอรสของพระชายา แต่ยามนี้เกิดคดีอี้โจว ทุกคนต่างชื่นชมความประพฤติอันดีงามขององค์ชายใหญ่ องค์ชายรองกลับค่อยๆ ตกต่ำลง ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เขาจะคิดพระราชทานรางวัลใช้ความโปรดปรานของฮ่องเต้มาสร้างความสมดุล แต่ผลนั้นน้อยนิดอย่างยิ่ง
เขารู้สึกผิดหวังในเรื่องนี้อยู่บ้างจริงๆ ไม่เพียงทำให้เขาเสียหน้า หอบรรลุเซียนที่เดิมทีก่อสร้างได้อย่างราบรื่นก็จำต้องปล่อยทิ้งไป ทำให้แม้แต่ลี่เฟยตั้งครรภ์อีกครั้งเขาก็ยังไม่มีความสุขมากนัก จำได้เพียงแววตาที่นางมองเขาซึ่งเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ แฝงการวิงวอนเล็กน้อย ดวงตายังคงแดงก่ำอีกด้วย
ซุ่นฮ่องเต้ยังจำได้ถึงตอนแรกที่รู้ว่าลี่เฟยตั้งครรภ์ในวัดชิงเฉวียน เขาดีใจแทบบ้า ปลอบโยนนางให้ดูแลครรภ์อย่างสบายใจ ให้สัญญาว่าวันหน้าต้องรับนางเข้าวังอย่างยิ่งใหญ่ โปรดปรานไม่เสื่อมคลายอย่างแน่นอน
เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปนานหลายปีแล้ว
ครั้งนี้เขากลับใช้เหตุผลที่นางตั้งครรภ์ ต้องตั้งใจดูแลครรภ์ ให้นางไม่ต้องมาดูแลอาการป่วยของเขา จะได้ไม่ต้องพอเห็นหน้านางแล้วทำให้นึกถึงผิงเจียงป๋อ คิดถึงองค์ชายรอง คิดถึงฎีกาฟ้องร้องไม่จบไม่สิ้นนี้ รวมทั้งสภาพการณ์ที่ทำให้เขาหงุดหงิดจนควบคุมไม่ได้
จิ้งเฟยอ่านเอกสารด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางมีชาติกำเนิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง รู้หนังสือ เข้าใจหลักเหตุผล ทุกการกระทำเหมาะสมตามประเพณี ซุ่นฮ่องเต้เดิมทีรู้สึกไม่สนใจ เวลานี้จิตใจว้าวุ่นกลับตระหนักถึงข้อดีของการโอนอ่อนเชื่อฟัง
ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของจิ้งเฟยเป็นผู้ตรวจการฉีโจว พี่ชายเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการเมืองหลวงแห่งสำนักตรวจการ ชื่อเสียงการเป็นขุนนางล้วนไม่เลว การที่เขาโปรดปรานนางย่อมไม่มีทางถูกวิพากษ์วิจารณ์
เขาถึงขั้นยังมีแก่ใจถามออกมาหนึ่งประโยคว่า “ระยะนี้ชิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
ที่ถามถึงคือองค์ชายสามเซียวหนานชิง
จิ้งเฟยวางเอกสารลงแล้วพูดเสียงเบา “ทูลฝ่าบาท ระยะนี้ชิงเอ๋อร์กำลังศึกษาประวัติศาสตร์ มีจุดที่ไม่เข้าใจก็ไปถามผู้บรรยายตำรา เขาบอกว่าได้รับความรู้เล็กน้อยเพคะ”
ซุ่นฮ่องเต้ถามอีกหลายประโยค แต่พอพูดถึงผู้บรรยายตำราเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบุรุษรนหาที่ตายคนนั้น จึงเรียกเผิงกงกงที่ดูแลองครักษ์เสื้อแพรเข้ามาสอบถามอีกครั้ง
เผิงกงกงเอ่ยอย่างนอบน้อม “เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่ไปประจำตำแหน่งทันที ไม่ชักช้าเสียเวลา อยู่ที่เมืองสุยหยวนได้ยินว่าทำงานยุ่งเหมือนไฟร้อนสูงเทียมฟ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ซุ่นฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถาม “ไฟร้อนสูงเทียมฟ้าหรือ”
เผิงกงกงก็ไม่กล้าปิดบัง เพราะเกิดเรื่องขึ้นกับผู้บัญชาการดูแลเส้นทางน้ำที่แนะนำไปก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้จึงไม่พอใจเขาอย่างยิ่ง ตอนนี้จึงรายงานการกระทำทุกอย่างของลู่อู๋โยวออกมาตามจริง แม้จะเป็นเพราะไม่ได้รับเงินจากลู่อู๋โยวจึงพูดอย่างเรียบง่ายมาก แต่ฟังแล้วก็น่าตกใจมากเช่นกัน
ซุ่นฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นอีก “เจ้าเมืองสุยหยวนเล่า”
เผิงกงกงตกใจ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ข่าวล่าสุดที่เพิ่งมาถึงเหมือนจะเป็นว่าเจ้าเมืองเพิ่งกลับมาก็ตำหนิเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่อย่างรุนแรงยกใหญ่ แล้วรับงานในที่ว่าการมาทั้งหมด”
ซุ่นฮ่องเต้หัวเราะเยาะทีหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไร
เผิงกงกงเอ่ยต่อเสียงเบา “ฝ่าบาท ดูเหมือนโจรกบฏคนนั้นระยะนี้ก็อยู่ห่วงโจวเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ…”
นอกประตูเมืองสุยหยวนมีชาวบ้านที่ลี้ภัยมาเคาะแผ่นเหล็กเสียงดังพลางตะโกนว่า “รีบปล่อยให้พวกเราเข้าไป! ปล่อยพวกเราเข้าไป! ชาวเป่ยตี๋บุกมาแล้ว!”
พอมองลงมาจากบนกำแพงเมืองก็เห็นชาวบ้านที่ล้วนมีสีหน้าตื่นตระหนกนำครอบครัวมาร้องเรียก ส่วนใหญ่เป็นสตรีและเด็กเล็ก ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่บาดเจ็บตามร่างกาย
“เกิดอะไรขึ้น”
ชาวบ้านใต้กำแพงเมืองพูดเสียงสั่นเครือ “เป็นทหารม้าเกราะ! ทหารม้าเกราะของชาวเป่ยตี๋! ปกติพวกเขามาปล้นสะดมก็ช่างเถอะ แต่ครั้งนี้พวกเขาเผาฆ่าปล้นชิง ทำทุกอย่างตลอดทางที่พวกเขาผ่าน!”
ชาวบ้านอีกคนหนึ่งเอ่ยเสริมว่า “ข้าได้ยินว่าเป็นองค์ชายสามของเป่ยตี๋! เขานำผู้ใต้บังคับบัญชาบุกมาแล้ว!”
“ได้ยินว่าองค์ชายสามของเป่ยตี๋โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด! ไม่เพียงฆ่าคน ยังกินคนอีกด้วย!”
“รีบเปิดประตูสิ!”
เฮ่อหลันฉือกับลู่อู๋โยวได้ยินข่าวก็รุดมาที่ประตูเมืองเช่นกัน เสียงข้างนอกดังลอยมาอย่างชัดเจน ทว่าเหยียนเหลียงเจ้าเมืองสุยหยวนกลับพูดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวทันที
“ใครก็ห้ามเปิดประตูเมือง!” ราวกับกลัวคนจะสงสัย เขาจึงพูดอีกว่า “ใครจะรู้ว่าในนี้มีไส้ศึกของเป่ยตี๋อยู่หรือไม่!”
เฮ่อหลันฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามลู่อู๋โยวเสียงเบาว่า “รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ลู่อู๋โยวเอ่ยตอบเสียงเบาเช่นกัน “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าองค์ชายทั้งหลายของเป่ยตี๋กำลังก่อเรื่องเช่นกัน องค์ชายสามฉากานก่อเรื่องร้ายแรงที่สุด ข้าเดาว่าแปดส่วนคงจะล้มเหลวจากการแย่งชิงอำนาจและกำลังนำทหารหนีมาทางนี้ เผาฆ่าปล้นชิงมาตลอดทางคงเพราะไม่มีอะไรต้องห่วง ที่ผ่านมาเป่ยตี๋ปล้นสะดมจะทำเพื่อทรัพย์สินของมีค่า ไม่ถึงขั้นทำสุดโต่งเช่นนี้”
เห็นประตูเมืองไม่เปิด นอกประตูก็มีเสียงร้องตะโกนระงม ถึงขั้นมีเสียงร้องไห้ของเด็กทารกอีกด้วย
“ท่านเจ้าเมือง ขอร้องท่านเปิดประตูเถอะ!”
“ชาวเป่ยตี๋ใกล้จะบุกมาถึงแล้วจริงๆ นะ! เมืองโส่วเหยียนถูกตีแตกแล้ว พวกเราหนีไม่ไหวแล้ว…”
“นายท่านทั้งหลาย ให้ลูกของพวกเราเข้าไปได้หรือไม่!”
เมืองโส่วเหยียนเป็นเมืองที่อยู่ใกล้แคว้นเป่ยตี๋มากกว่าเมืองสุยหยวน ที่ผ่านมาใช้เพื่อป้องกันชายแดน ระยะทางห่างจากเมืองสุยหยวนเพียงร้อยกว่าหลี่ ตอนนี้อีกฝ่ายคงจะกำลังทำเรื่องเลวร้ายอยู่ในเมืองนั้น
ฟังจบเหยียนเหลียงก็มีสีหน้าไม่น่าดูมากขึ้น
ลู่อู๋โยวถอนใจเฮือกหนึ่ง เดินไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่งแล้วเอ่ยว่า “ด้วยความเร็วในการส่งกองทหารออกมาของเป่ยตี๋ คงไม่ทันได้เตรียมวางไส้ศึก ถ้าใต้เท้าเหยียนไม่วางใจ สามารถแยกคุมตัวพวกเขาไว้ในที่แห่งหนึ่งเพื่อป้องกันการมีคนคิดวางแผนชั่วร้าย”
เหยียนเหลียงพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “ใครจะเฝ้า! เจ้าจะมาเฝ้าหรือ ถ้าเปิดประตูเมืองแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าจะรับผิดชอบหรือไม่”
ลู่อู๋โยวแทบจะถูกทำให้หัวเราะออกมา
เฮ่อหลันฉือเห็นเหยียนเหลียงโกรธจนตัวสั่น เนื้อบนใบหน้าดูเหมือนจะสั่นตามไปด้วย ก็เข้าใจท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว เจ้าเมืองที่แต่เดิมไม่เคยขยันทำงานมาเจอเรื่องเช่นนี้ จะไม่คิดบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงได้อย่างไร แต่ตอนนี้เขาขี่หลังเสือยากจะลงได้แล้ว
ลู่อู๋โยวพูดว่า “ได้ ข้ารับผิดชอบเอง เปิดประตูเมืองได้หรือยัง”
เหยียนเหลียงรู้สึกดีใจแต่กลับเอ่ยว่า “เรื่องนี้ถ้าเกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย จะโทษว่าเจ้าทำงานโดยพลการ!”
คนในเมืองได้ยินข่าวนี้ต่างก็วุ่นวายไปทั่ว
Comments
