คิดไปคิดมานางจึงตัดสินใจจะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ซั่งอวิ๋นเทียนจะถูกรถม้าชน ใช้การช่วยให้เขาพ้นเคราะห์เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักกัน ด้วยฝีมือของนางในการปรนนิบัติบุรุษ เขาจะต้องหวั่นไหวต่อนางเฉกเช่นเมื่อชาติก่อนแน่นอน
หากเขาไม่ได้รับบาดเจ็บก็ย่อมเข้าสอบได้อย่างราบรื่น เมื่อเขาสอบติดแล้วไปสู่ขอกับบิดานาง นางค่อยไปขอร้องให้บิดาพยักหน้า ทุกอย่างก็จะเหมาะเจาะลงตัว
เนื่องจากในอดีตตอนที่นางพูดคุยสัพเพเหระกับซั่งอวิ๋นเทียน จำได้ว่าวันที่เขาบาดเจ็บก็คือช่วงนี้ ดังนั้นวันนี้นางถึงเลือกบ่าวร่างกายกำยำสองคนให้ติดตามมาด้วย หมายจะให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
นึกไม่ถึงเลยว่าแผนการที่คิดมาเกือบหนึ่งเดือนกลับถูกชุยฉวนเป่าคนซื่อบื้อนั่นก่อกวนเสียจนควบคุมไม่ได้ ยามที่เห็นพี่ซั่งประสานสายตากับฉยงเหนียง หลิ่วผิงชวนก็แค้นใจจนแทบอยากจะพุ่งตัวไปกระชากบุรุษสตรีคู่นั้นแยกออกจากกันทันที
ทว่ารอจนนางเห็นรูปสัญลักษณ์ไป๋เจ๋อบนตัวรถม้าคันนั้น ใบหน้าก็พลันสิ้นสีเลือด รีบเหน็บผ้าแพรคลุมใบหน้าให้มิดชิด กระถดถอยเข้ามุมแล้วเลี้ยวเข้าหอน้ำชาที่อยู่แถวนั้นแทน
ชุยฉวนเป่ารู้สึกเพียงว่ากระดูกขาคล้ายถูกตะปูเหล็กตอกฝัง ปวดร้าวเสียจนกระทั่งเสียงครางก็เปล่งไม่ออกแล้ว ตั้งแต่ที่รถม้าคันก่อเหตุจอดนิ่ง ผู้บังคับรถม้าก็ห่วงแต่ตรวจสอบม้าที่ล้มลง ไม่มีท่าทีจะดูว่าคนเจ็บเป็นเช่นไรแม้แต่น้อย
ซั่งอวิ๋นเทียนเห็นแล้วความคิดผดุงคุณธรรมก็พลันท่วมท้น จึงยืนขึ้นถามเสียงเย็นใส่ผู้บังคับรถม้า “ในตลาดที่พลุกพล่านกลับกระทำการสะเพร่าถึงเพียงนี้ ชนถูกผู้อื่นแล้วก็ยังไม่เห็นรู้สึกผิด ไม่ทราบเป็นรถม้าของจวนใดกันแน่ ถึงได้ใจกล้าใช้อำนาจใหญ่กลางย่านการค้าเช่นนี้”
ผู้บังคับรถม้าผู้นั้นมีรูปร่างสูงกำยำ เขาฟังแล้วไม่แม้แต่จะเหลือบแลซั่งอวิ๋นเทียน เพียงย่นคิ้วตรวจดูม้าที่ชักเกร็ง ก่อนจะกระทืบเท้าด้วยโทสะแล้วถ่มน้ำลายลงพื้นหนึ่งคำ พอเขาเดินกลับมาถึงหน้ารถม้าก็รายงานเสียงเบาต่อผู้ที่อยู่ในตัวรถ “เรียนท่านอ๋อง ม้านั่นดูท่าจะไม่ไหวแล้ว ฟองน้ำลายในปากของมันมีกลิ่นเปรี้ยว สาเหตุคล้ายถูกวางยา…ข้าน้อยบกพร่องต่อหน้าที่ ถึงกับไม่ทันสังเกตเห็น ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษ”
ในรถม้าเงียบกริบไร้สุ้มเสียง องครักษ์ที่รุดมาจากด้านหลังมีสีหน้าหงุดหงิดตำหนิตนเอง พอได้ยินคำพูดนี้ก็เอ่ยเสียงเบา “เห็นทีจะมีคนไม่อยากให้ท่านอ๋องเข้าเมืองหลวงจึงได้วางยาม้า ถึงกับใช้วิธีการต่ำช้าเพียงนี้!”
ซั่งอวิ๋นเทียนจดจำองครักษ์ที่รุดมาผู้นั้นได้ เขาก็คือบ่าวดุร้ายที่เหมาซื้อขนมลายวิหคบุปผาไปเมื่อวานมิใช่หรือไร ตอนนั้นผู้อื่นเพียงพูดจาไม่เข้าหู เขาก็สั่งชักดาบจะทำร้ายคน วันนี้ยิ่งหนักข้อ ทั้งที่ฝ่ายเขาชนคนบาดเจ็บก็ยังทำเหมือนมองไม่เห็น ไฉนบนแผ่นดินอันร่มเย็นใต้พระบาทโอรสสวรรค์ถึงกลายเป็นไม่มีกฎหมายไปเสียแล้ว
ซั่งอวิ๋นเทียนเดินเข้าหาด้วยโทสะอันคุกรุ่น ซักถามเสียงเฉียบขาดหมายมั่นจะทวงคำอธิบายให้จงได้ ทั้งรบเร้าจะลากคนไปพบเจ้าหน้าที่
องครักษ์ผู้นั้นมีนามว่าฉังจิ้น ปกติยามอยู่ที่เจียงตงก็เป็นพวกไม่ฟังเสียงใคร ยามนี้เขากำลังอารมณ์เสีย พอเห็นซั่งอวิ๋นเทียนส่งเสียงหนวกหูน่ารำคาญจึงยกเท้าเตะใส่ไปทันที
ซั่งอวิ๋นเทียนแม้รูปร่างสูงใหญ่ แต่ก็ไม่อาจทนรับหนึ่งฝ่าเท้าของแม่ทัพที่ผ่านสนามรบมาแล้วได้ ฝีก้าวของเขาจึงพลันเซถอยหลังไป จนกระทั่งล้มใส่ฉยงเหนียงที่เพิ่งจะยืนขึ้นพอดี
เดิมทีฉยงเหนียงตรวจสอบอาการบาดเจ็บของพี่ชายอยู่ พอเห็นเขาค่อยยังชั่วขึ้น ลมหายใจสม่ำเสมอ สามารถพูดจาได้ และไม่พบว่าช้ำใน นางถึงโล่งใจขึ้นเล็กน้อย กำลังคิดจะเรียกคนมาช่วยพยุงพี่ชายกลับบ้าน หลีกหนีให้ไกลจากสถานที่อันวุ่นวายนี้
สัญลักษณ์บนตัวรถม้านั้นนางเองก็เห็นแต่แรกแล้ว พูดเหตุผลกับหลางอ๋องน่ะหรือ มิสู้ท่องคัมภีร์เต้าเต๋อจิงหนึ่งเล่มให้พยัคฆ์สุนัขป่าที่โหดเหี้ยมฟังยังจะเข้าท่ากว่า หากมีเวลาเปลืองน้ำลายอยู่ที่นี่ ก็ควรเอาเวลารุดกลับบ้านไปเชิญหมอมาสมานกระดูกให้พี่ชายถึงจะสมเหตุสมผล
แต่นึกไม่ถึงว่านางเพิ่งจะยืนตัวตรงก็ถูกซั่งอวิ๋นเทียนถอยมาทับจนล้มลงกับพื้น เจ็บจนต้องเปล่งเสียงร้องโอดโอยออกมาอย่างห้ามไม่อยู่