ฉังจิ้นมองตามเสียงไปก็กล่าวเสียงดัง “นี่มิใช่แม่นางที่ทำขนมวาดลายคนนั้นหรือไร!”
คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจของคนในรถม้าได้เล็กน้อย นิ้วเรียวนิ้วหนึ่งพลันแง้มม่านรถขึ้นนิดๆ ดวงตาที่เรียวยาวดำลุ่มลึกคู่หนึ่งเพียงชำเลืองมองด้านนอกผ่านร่องผ้าม่าน ก็เห็นสภาพทุลักทุเลที่ฉยงเหนียงถูกทับล้มกับพื้นเต็มตาแล้ว
เนื่องจากผ้าบนศีรษะของนางคลุมไม่ค่อยถูกวิธีนัก บัดนี้จึงหย่อนคลายออกทั้งหมด ทำให้เรือนผมที่ดำขลับเรียบลื่นดุจเส้นไหมสยายทิ้งตัวลงมา ขับเน้นดวงหน้าที่ขาวสว่างให้แลดูผอมบางขึ้นอีกหลายส่วน ประกอบกับเจ้าของดวงหน้าร้อนใจจนแก้มขาวนวลกลายเป็นแดงเข้มขึ้น จึงดูราวดอกไห่ถังสีเมฆสายัณห์ถูกกลบด้วยดอกสาลี่ที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ ทำให้ผู้อื่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านางน่าสงสารชวนถนอมอยู่บ้าง
ซั่งอวิ๋นเทียนแม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ถึงอย่างไรก็ล่วงเกินแม่นางผู้นี้เสียแล้ว เขาจึงลุกขึ้นอย่างลนลานก่อนจะไปพยุงนาง แต่กลับถูกนางช้อนตาจ้องใส่อย่างเย็นชา ทำให้เขาชะงักท่าทางไปทันใด
ผ้าม่านนั้นก็ชะงักค้างไปชั่วครู่เช่นกัน ก่อนจะถูกปล่อยลงดังเดิม ฉังจิ้นที่เชิดคิ้วถลึงตาอยู่ถูกเรียกมาที่หน้ารถม้า
เขาเอียงหูฟังเสียงจากด้านในเพียงครู่เดียวก็ผ่อนคลายสีหน้า กระชากซั่งอวิ๋นเทียนออกไปแล้วเดินไปกล่าวใกล้ๆ ฉยงเหนียง “ไม่กี่วันมานี้นายข้าไม่เจริญอาหาร เมื่อวานกินขนมที่เจ้าทำแล้วรู้สึกว่ารสชาติดียิ่ง จึงอยากเชิญเจ้าไปยังที่พักเพื่อทำขนมเพิ่ม เงินรางวัลก็จะให้เจ้ามากหน่อย”
พอเขาเอ่ยปากเช่นนี้ ในใจฉยงเหนียงก็อยากจะด่าทอถึงมารดาของเขายิ่งนัก รถม้าคันนี้ชนคนแล้วไม่เอ่ยถึงค่าชดใช้ แต่กลับจะให้ข้าที่เป็นเจ้าทุกข์ไปทำขนมให้เขาเสียอย่างนั้น? ช่างเป็นคนที่ไม่สนใจเหตุผลเลยจริงๆ ชาติก่อนฮ่องเต้ผู้ทรงพระปรีชา ไฉนมิได้รับสั่งบั่นคอเจ้าคนผู้นี้ทันทีเสียเลยเล่า
อันที่จริงฉยงเหนียงกับผู้ที่อยู่ในรถม้าคันนี้แม้เคยพบหน้าไม่บ่อยนัก แต่กลับมีความเกี่ยวพันกันพอสมควรทีเดียว มิใช่เพียงเพราะหลิ่วผิงชวนเคยเป็นนางบำเรอของเขา แต่ยังเป็นเพราะเขาเคยไหว้วานให้คนนำคำพูดมาแจ้งที่จวนสกุลหลิ่วว่าต้องการจะสู่ขอฉยงเหนียง
นึกดูอย่างละเอียดแล้ว ดูเหมือนครั้งแรกที่นางได้พบหลางอ๋องซึ่งเข้าเมืองหลวงมาพอดี ก็คือตอนที่นางเข้าวังหลวงในวันเทศกาลซั่งซื่อของปีนี้
เพียงแต่ตอนนั้นความคิดจิตใจทั้งหมดของนางจดจ่ออยู่ที่องค์หญิงยงหยางกับฮองเฮา สำหรับอ๋องต่างแซ่ผู้มาจากชายแดนนี้นางไม่ค่อยได้ใส่ใจนัก ยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดท่ามกลางสตรีชนชั้นสูงที่งามหยาดเยิ้มทั้งกลุ่ม ท่านอ๋องผู้เห็นหญิงงามหลากหลายจนชินตาเช่นเขาถึงมาถูกตาต้องใจในตัวนางได้
เนื่องจากแต่ไรมารัชทายาทไม่ค่อยจะลงรอยกับอ๋องต่างแซ่ผู้นี้ ทำให้ฮองเฮาไม่ชอบหน้าเขาไปด้วย ประกอบกับคำเล่าลือเกี่ยวกับตัวเขาก็ไม่ดี ตอนนั้นหลิ่วเมิ่งถังจึงปฏิเสธการสู่ขอของเขาอย่างเด็ดขาด
ชาตินี้นางกับหลิ่วผิงชวนสลับคืนฐานะเร็วขึ้น เดิมทีนางไม่น่าจะมีจุดที่มาบรรจบกับหลางอ๋องได้อีก ไม่คิดเลยว่ากลับยังได้มาพบกันที่นี่
ฉยงเหนียงเม้มปากตอบเสียงเบา “ผู้สูงศักดิ์จำคนผิดแล้ว ข้าน้อยมิใช่ผู้มีฝีมือทำขนมอันใดนั่นหรอก”
ฉังจิ้นแน่ใจว่าตนเองตาไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะมองยอดหญิงงามแห่งแคว้นเช่นนี้ผิดคน เขาไม่เชื่อที่นางกล่าวแม้แต่น้อย จึงสั่งผู้ใต้บังคับบัญชามาหามชุยฉวนเป่าไปรักษาอาการ ฉยงเหนียงที่ปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมไม่สำเร็จก็ย่อมถูก ‘เชิญ’ ขึ้นเกี้ยวติดตามไปด้วยกัน
ส่วนซั่งอวิ๋นเทียนที่ถูกฉังจิ้นผลักไปอยู่อีกด้านหนึ่งก็ได้แต่เบิกตามองฉยงเหนียงถูกพาตัวไปพลางร้อนใจจนเต้นผาง
ทางด้านหลิ่วผิงชวนที่นั่งอยู่บนชั้นสองของหอน้ำชานั้น แม้มองดูเหตุการณ์บนถนนด้านล่างโดยไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกันบ้าง แต่เมื่อเห็นฉยงเหนียงถูกพาตัวไป หลิ่วผิงชวนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าบานและพรูลมหายใจยาว
รูปโฉมของฉยงเหนียงนั้นงามเป็นเลิศ ในเมื่อถูกหลางอ๋องจับตัวไปก็ไม่มีเหตุผลที่จะบริสุทธิ์ผุดผ่องกลับมา
ชาติก่อนตนในฐานะนางบำเรอของหลางอ๋องย่อมรู้ซึ้งถึงความไร้ไมตรีของเขา ต่อให้รูปโฉมชวนมองสักเพียงใด ในสายตาของท่านอ๋องผู้นั้นก็เป็นแค่ความแปลกใหม่เพียงไม่กี่วัน หากแก่งแย่งจะเป็นคนโปรดจนทำให้หลางอ๋องรำคาญใจขึ้นมา เช่นนั้นพ่อบ้านแห่งจวนอ๋องก็จะมีวิธีสั่งสอนที่ไม่รู้จบสิ้น
ด้วยรูปโฉมของฉยงเหนียง รอจนหลางอ๋องเล่นเบื่อเมื่อไรก็น่าจะตกรางวัลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่โหดเหี้ยมหยาบคายเหล่านั้นกระมัง
คิดมาถึงตรงนี้ ความตระหนกหวาดหวั่นที่หลิ่วผิงชวนพลันพบเจอหลางอ๋องก็ค่อยๆ กดข่มลงไปได้ เห็นเงาร่างของซั่งอวิ๋นเทียนที่อยู่ด้านล่างเดินวนกลับไปกลับมาอย่างรุ่มร้อนใจ นางก็หัวเราะเยาะอย่างมั่นใจในตนเอง…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ม.ค. 65 เวลา 12.00 น.