เรือนที่นางย้ายเข้าไปใหม่ แม้เครื่องตกแต่งในห้องทุกชิ้นนางเป็นผู้คัดเลือกจากคลังเก็บของในจวนสกุลหลิ่วด้วยตนเอง ตามหลักแล้วแต่ละชิ้นก็ล้วนเป็นของล้ำค่า แต่ไม่รู้เหตุใดจัดวางแล้วกลับดูไม่สง่าสูงศักดิ์เช่นห้องเดิมของฉยงเหนียง
สองฝ่ายเปรียบเทียบกันเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้สายตาของนางดูสู้ฉยงเหนียงไม่ได้ นี่จะไม่ให้หลิ่วผิงชวนลอบหงุดหงิดได้อย่างไรกันเล่า
ฉยงเหนียงกางมุ้งเสร็จก็ลงมาจากเตียง นางมองเห็นหลิ่วผิงชวนที่ยืนอยู่ตรงประตูได้ในปราดเดียว แววตาริษยานิดๆ ของอีกฝ่ายนางคุ้นเคยอย่างยิ่ง
ชาติก่อนนางก็เคยลองทำตัวเป็นพี่น้องที่ดีกับหลิ่วผิงชวน เพียงแต่ทุกครั้งที่ไปเดินซื้อของด้วยกัน ไม่ว่านางถูกใจสิ่งใด หลิ่วผิงชวนก็จะแย่งซื้อไปเป็นของตนเองก่อนเสมอ
ถ้าเป็นไปได้ ฉยงเหนียงก็อยากจะลองดูยิ่งนัก…หากตักน้ำอุจจาระมาหนึ่งช้อนเต็มๆ คุณหนูหลิ่วผู้นี้จะแย่งดื่มหรือไม่
หลิ่วผิงชวนอิจฉาตาร้อนอยู่สักครู่ก็นึกถึงจุดประสงค์ที่ตนเองรั้งอยู่ที่นี่ จึงกดข่มอารมณ์ริษยาในใจลงไปก่อนเอ่ยปากกล่าว “พี่สาว ในเมื่อท่านเข้าไปในคฤหาสน์ของหลางอ๋องแล้ว คาดว่าคงได้พบผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นแล้วกระมัง เป็นเช่นไรเล่า ได้ยินว่ารูปโฉมของเขาหล่อเหลาเหนือกว่าผู้อื่นมาก คำกล่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่”
ฉยงเหนียงหยิบตะกร้าเย็บปักไปนั่งที่ริมหน้าต่างแล้วปักผ้าเช็ดหน้าฝ้ายที่ตนเลือกผืนนั้นต่อพลางตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “ข้าไปทำขนมที่คฤหาสน์ของเขา เรื่องชงน้ำชาย่อมจะมีบ่าวเป็นผู้รับใช้ ข้ามีหรือจะได้พบผู้เป็นเจ้านาย”
หลิ่วผิงชวนฟังจบก็เจตนาถอนหายใจ “โอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ เหตุใดพี่สาวไม่ยึดกุมให้ทันท่วงทีเล่า”
ฉยงเหนียงช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย ก่อนทำทีถามอย่างกังขา “น้องสาวพูดให้ชัดเจนสักหน่อย สมควรยึดกุมอย่างไร”
หลิ่วผิงชวนย่อมรู้ว่าฉยงเหนียงวางท่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่จนเคยชินแล้ว ไม่ได้คิดว่านางกำลังเสแสร้ง จึงรีบอธิบายให้ชัดขึ้น “ด้วยรูปโฉมเช่นนี้ของพี่สาว หากท่านอ๋องผู้นั้นได้เห็นจะต้องพึงใจเป็นแน่ ถึงตอนนั้นน้ำหลากย่อมจะเกิดคูคลองเอง”
ฉยงเหนียงหัวเราะคิกก่อนกล่าว “ดูน้องสาวพูดเข้า ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นไม่ใช่อันธพาลตามถนนสักหน่อย มีหรือแค่เห็นสตรีที่ชวนมองสักคนก็จะพึงใจจนไม่อาจข่มกลั้นความรู้สึก”
เห็นฉยงเหนียงไม่เข้าใจเสียที หลิ่วผิงชวนก็ใจร้อนพูดออกมาเอง “อีกไม่ช้าในคฤหาสน์จะเรียกพบพ่อค้าทาสเพื่อซื้อนางบำเรอเข้าคฤหาสน์ หากพี่สาวยินยอม ข้าจะหาช่องทางให้พี่สาวได้พบท่านอ๋องผู้นั้นเป็นอย่างไร”
ด้วยถูกอาการกระวีกระวาดของคุณหนูหลิ่วผู้นี้ทำให้สะอิดสะเอียนจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉยงเหนียงจึงสะบัดตะกร้าเย็บปักไปไว้ด้านข้างทันที “วาจานี้ของน้องสาวช่างพูดมีเลศนัยนัก เหตุใดจึงเอาแต่ยั่วยุให้ข้าไปเป็นนางบำเรอถึงที่พักของบุรุษ ชั่วดีอย่างไรสกุลชุยก็เป็นครอบครัวที่สุจริต บรรพบุรุษสามรุ่นก็ไม่เคยมีชายเป็นโจรมีหญิงเป็นนางโลม เจ้าจะให้ข้าละทิ้งอนาคต ไม่เป็นภรรยาของผู้ที่ประพฤติตนอยู่ในกรอบ แต่จะให้ทำตนตกต่ำไปเป็นนางบำเรอเช่นนั้นหรือ ที่แท้นี่คือความคิดของน้องสาว หรือเป็นเพราะพ่อแม่ข้าเลี้ยงดูข้าไม่ไหวจึงไหว้วานเจ้านำคำพูดมาทิ่มแทงใจข้ากันแน่”
พูดมาถึงตรงนี้ฉยงเหนียงก็ลอบหยิกข้างเอวของตน จากนั้นตะเบ็งเสียงไปทางห้องครัวที่อยู่ตรงข้ามกับประตู “ท่านแม่! ท่านไม่อาจเก็บบุตรสาวเช่นลูกไว้ก็โปรดพูดตามตรง ไยต้องให้น้องสาวมาพูดเหยียบย่ำลูกด้วย!”
หลิวซื่อที่อยู่ในห้องครัวกำลังรีดบะหมี่เส้นใหญ่…เมื่อก่อนสิ่งนี้คือของโปรดอีกอย่างของหลิ่วผิงชวน กลิ่นหอมของแป้งข้าวสาลีใหม่จากแดนเจียงหนานเข้าคู่กับไข่ผัดเต้าเจี้ยว ให้รสชาติที่อร่อยล้ำอย่างยิ่ง
ทว่าตอนนี้พอได้ยินฉยงเหนียงที่ยามปกติพูดเสียงเนิบช้านุ่มนวลพลันร้องไห้ตะโกนเสียงสูงอย่างเศร้าสลด หลิวซื่อก็รีบทิ้งบะหมี่ในหม้อ วิ่งปราดตรงมาเลิกม่านประตูแล้วจ้องถามพวกนางสองคนตาโต “เหตุใดฉยงเหนียงถึงร้องไห้เล่า!”
หลิ่วผิงชวนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน นึกไม่ถึงว่าฉยงเหนียงบทจะร้องไห้ก็ร้องไห้ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำตัวเป็นเด็กสามขวบอ้าปากเรียกมารดามาฟ้องร้อง หลิ่วผิงชวนจึงแก้ตัวอย่างเร่งรีบ “เมื่อครู่ข้าเพียงล้อพี่สาวเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงว่านางกลับถือเป็นจริง…”