พูดๆ อยู่ขอบตาของนางก็แดงเรื่อเช่นกัน คล้ายนางเองก็ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างล้นเหลือ แต่น่าเสียดายที่ฉยงเหนียงร้องไห้หนักยิ่งกว่า จึงมองความเปราะบางของนางไม่ออกแล้ว
รอจนหลิวซื่อซักถามสาเหตุกระจ่างแจ้งก็ย่นคิ้วขึงตาตำหนิ โดยไม่สนใจว่าบัดนี้หลิ่วผิงชวนเป็นถึงคุณหนูตระกูลขุนนางผู้สูงส่ง “เรื่องเป็นนางบำเรอจะเอ่ยปากหยอกล้อกันได้อย่างไร เห็นอยู่ว่าพี่สาวเจ้าเป็นคนเรียบร้อยระวังตัว คำพูดเยี่ยงนี้หากแพร่งพรายออกไปจะให้นางพบหน้าผู้คนได้อย่างไรกัน”
จบคำนางก็หมุนตัวไปปลอบฉยงเหนียง “ได้ยินแล้วกระมัง ผิงเอ๋อร์แค่ล้อเจ้าเล่น!”
หากเป็นฉยงเหนียงคนเก่าจะไม่ร้องไห้อาละวาดกัดไม่ปล่อยเช่นนี้หรอก ทว่านางเอือมระอาแล้วจริงๆ ที่หลิ่วผิงชวนมาทำตัวน่ารังเกียจกับนางถึงสกุลชุยครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งเมื่อนึกถึงความคับแค้นที่ชาติก่อนอีกฝ่ายแย่งชิงสามีกับบุตรชายหญิงของนางไป ไม่ต้องหยิกเอวเลยด้วยซ้ำน้ำตานางก็พรั่งพรูออกมาแล้ว
ดังนั้นนางที่จอนผมรุ่ยร่ายจึงโผซบอ้อมอกของหลิวซื่อแล้วเอ่ยตาแดงก่ำ “มีคำพูดล้อเล่นเช่นนี้ที่ใดกันเจ้าคะ นางถึงกับบอกให้ลูกเป็นฝ่ายไปหาพ่อค้าทาสเพื่อไปขายตัวถึงที่พักของบุรุษ พูดเสียเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนว่านางเคยทำเองมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น!”
หลิ่วผิงชวนฟังคำฟ้องของอีกฝ่ายจบก็ตัวแข็งทื่อนิดๆ อย่างห้ามไม่อยู่ พอนางช้อนตามองไปทางฉยงเหนียง ก็เห็นอีกฝ่ายร้องไห้สะอึกสะอื้น เป็นแค่แม่นางน้อยที่เหลี่ยมเล่ห์ยังอ่อนหัดนัก
แม้แต่ในชาติก่อนที่อีกฝ่ายเป็นถึงฟูเหรินขั้นหนึ่งก็ยังวางแผนด้อยกว่าข้ามิใช่หรือไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงข้าที่มาเกิดใหม่และยึดกุมจังหวะอันมีเปรียบได้ก่อนในทุกเรื่อง!
คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วผิงชวนก็รู้สึกเพียงว่าตนใจร้อนเกินไป ถึงได้ถูกฉยงเหนียงจับมาเป็นประเด็นโจมตี หลิ่วผิงชวนยืดได้หดได้เสมอมา จึงรีบปั้นยิ้มกล่าว “เป็นความผิดของน้องสาวคนนี้เอง ขอพี่สาวโปรดอย่าตำหนิเลย”
ทว่านางยิ่งปลอบกลับทำให้ฉยงเหนียงยิ่งร้องไห้ฟูมฟายหนัก หลิวซื่อพลันนึกโยงไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่ฉยงเหนียงกลับมาสกุลชุยใหม่ๆ นั่นคือน้ำตาที่สามารถทลายกำแพงหมื่นหลี่จนท่วมมิดด่านซานไห่ ได้ทีเดียว
ยามนี้ย่อมไม่เหมาะจะรั้งหลิ่วผิงชวนอยู่กินอาหารอีก หลิวซื่อเพียงส่งสายตาให้ลูกเลี้ยงก่อนเอ่ยเสียงเบา “วันนี้เดิมทีพี่สาวเจ้าก็ได้รับความตื่นตระหนก เจ้ายังจะใช้คำพูดทิ่มแทงนางซ้ำอีก ถ้าอย่างไรเจ้ากลับไปก่อนเถอะ วันหลังมีเวลาว่างค่อยมาเยี่ยมแม่กับพ่อชุยจงของเจ้าใหม่ดีหรือไม่”
เดิมหลิ่วผิงชวนก็ไม่ได้อยากจะรั้งอยู่กินอาหารหรอก ตอนนี้พลั้งปากไปชั่ววูบจนตกเป็นรอง กำลังหาโอกาสจะปลีกตัวไปอยู่พอดี
หลิวซื่อเตรียมพร้อมอยู่นานเพื่อจะสร้างทำนบต้านน้ำตาที่ไหลบ่า ไหนเลยจะคิดว่าหลิ่วผิงชวนเพิ่งจากไปไม่ทันไร ฉยงเหนียงก็ค่อยๆ เก็บน้ำตาแล้วเอ่ยปนสะอื้น “ท่านแม่ บะหมี่เส้นใหญ่เสร็จแล้วกระมัง ขืนยังไม่กิน เส้นคงจะเละเป็นแน่”