ถัดมาองค์หญิงเลือกพระสวามีเองอีกครั้ง โดยอภิเษกสมรสใหม่กับแม่ทัพผู้หนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เขาประจำการอยู่ข้างนอกตลอดปี อนุที่เลี้ยงอยู่ทางนั้นสองคนล้วนให้กำเนิดบุตรชายหญิงแล้ว ผิดกับองค์หญิงทางนี้ที่ไร้ทายาทมาโดยตลอด ในใจองค์หญิงเป็นทุกข์จึงมักมาหาฉยงเหนียงที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเพื่อให้ช่วยปลอบโยน
บัดนี้องค์หญิงยงหยางยังคงได้รับการทะนุถนอมอยู่ในวังหลวง ไม่รู้จักรสชาติความขื่นขมของชีวิตคน คิ้วตาของนางจึงยังชี้เชิดพลางถามด้วยสีหน้าอิจฉา “พี่วั่งซานเลือกเจ้าเป็นแม่ครัว เพราะมีใจให้เจ้าใช่หรือไม่”
ฉยงเหนียงมององค์หญิงยงหยางอย่างสะทกสะท้อนใจไม่น้อย ด้วยรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังคงคบหาบุรุษผิดพลาดไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย บุรุษที่ชมชอบในวัยแรกรุ่นก็มิใช่คนดีอันใด
เดิมทีองค์หญิงยงหยางจะมาซักถามเอาผิด แต่กลับเห็นแม่ครัวเล็กผู้นี้มองมาด้วยแววตาเห็นใจ จึงพลันเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก่อนจะขึงตาถามย้ำ “ข้าพูดอยู่กับเจ้า เหตุใดจึงไม่ตอบ!”
ฉยงเหนียงหลุบดวงตาแล้วย่อกายกล่าว “หม่อมฉันถูกเลือกเป็นแม่ครัว ย่อมเป็นเพราะทำอาหารอร่อย ไม่ทราบเหตุใดองค์หญิงทรงคิดไปถึงเรื่องอื่นได้ เพียงเพราะหม่อมฉันชาติกำเนิดต่ำต้อย ก็จะไม่ต้องการชื่อเสียงอันดีงามของสตรีแล้วหรือเพคะ”
หากเปลี่ยนเป็นผู้สูงศักดิ์ท่านอื่นจากในวัง ฉยงเหนียงย่อมไม่กล้าโผงผางเพียงนี้ ทว่านางรู้จักอุปนิสัยขององค์หญิงยงหยางลึกซึ้งดี อีกฝ่ายเพียงแต่ถูกประคบประหงมอยู่ในวังจนไม่ค่อยรู้จักโลกภายนอก จึงพูดจาเป็นคนพาลพาโลอยู่บ้าง แต่แท้ที่จริงเป็นคนจิตใจดียิ่งกว่าใคร หาไม่ชาติก่อนคงไม่ปล่อยให้พระสวามีคนใหม่กำเริบเสิบสานเพียงนั้น ถึงขั้นให้อนุสองคนที่เลี้ยงอยู่ข้างนอกมีบุตรข้ามหน้าข้ามตา ทั้งที่ภรรยาเอกยังไร้ซึ่งทายาท
จริงดังคาด พอองค์หญิงยงหยางได้ยินคำพูดของฉยงเหนียงก็รู้สึกผิดบาปขึ้นมา เมื่อครู่นางได้ฟังคำสนทนาระหว่างหลิ่วเจียงจวีกับฉู่เสีย ย่อมรู้แล้วว่าแม่ครัวเล็กผู้นี้เดิมทีถูกเลี้ยงดูในฐานะบุตรีภรรยาเอกของสกุลหลิ่วมาตลอด น่าเสียดายที่ตอนนี้ถูกส่งตัวกลับครอบครัวเดิม แม้กระทั่งบทกลอนก็ยังถูกขโมยเอาไป นี่เป็นความอยุติธรรมสักเพียงใดกัน ทว่าตนกลับเสียมารยาทเช่นนี้อีก มองอย่างไรก็คือการซ้ำเติมผู้อื่น
องค์หญิงยงหยางจึงรีบชี้แจงเป็นพัลวัน “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าล่อลวงพี่วั่งซาน เพียงอยากจะเตือนเจ้าว่าข้างกายเขามีนางบำเรอมากมายยิ่ง มิใช่ตัวเลือกสามีที่รักเดียวใจเดียว หากวันหน้าเจ้าจะออกเรือน ควรหาคนที่ซื่อสัตย์อยู่ในกรอบถึงจะดี!”
ฉยงเหนียงลอบทอดถอนใจ ตอบเงียบๆ อยู่ในใจว่า…ถ้อยคำนี้หม่อมฉันก็อยากจะน้อมเตือนองค์หญิงเช่นกันเพคะ
หลังจากพูดแก้สถานการณ์ที่ตนพลั้งปากไปเมื่อครู่ กลับทำให้ในใจองค์หญิงยงหยางยิ่งหดหู่ จึงเอ่ยด้วยท่าทีห่อเหี่ยว “เดิมทีมาเที่ยวนี้อยากจะขอให้พี่วั่งซานชี้แนะภาพวาดของข้าสักหน่อย งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้จะมีการประชันภาพวาด ถึงแม้เหล่าคุณหนูตระกูลต่างๆ จะล้วนอ่อนข้อให้ข้า แต่ข้าเองก็ต้องมุมานะ แสดงให้เห็นบ้างว่าข้ามีฝีมือที่แท้จริงเช่นกัน อยู่ในวังไม่ได้ยินวาจาจริงสักประโยค เดิมอยากให้พี่วั่งซานติชมภาพข้าตามตรง แต่ตอนนี้เขากำลังโกรธไม่ยอมพบใคร นี่ก็ใกล้เวลาต้องกลับวังแล้ว ข้าควรไปหาผู้มีสายตาเฉียบแหลมไม่ธรรมดาจากที่ใดมาชี้แนะกันเล่า”
หลิ่วเจียงจวีอยากอยู่เยี่ยมน้องสาวนานหน่อย พอได้ยินเช่นนี้จึงสบโอกาสกล่าว “น้องสาวผู้นี้ของกระหม่อมก็เป็นยอดฝีมือด้านภาพวาด หากองค์หญิงทรงไม่รังเกียจ จะให้ฉยงเหนียงชมดูผลงานอันสูงส่งของพระองค์ได้หรือไม่”
อันที่จริงองค์หญิงยงหยางก็ไม่อยากจากไปเร็วนัก เมื่อครู่แม้มีคำสั่งไล่แขกแล้ว ทว่าหากดันทุรังอยู่ที่นี่นานขึ้นอีกสักหน่อย ได้พูดคุยกับแม่ครัวของพี่วั่งซานก็เหมือนได้ใกล้ชิดเขามากขึ้นอีกนิดเช่นกัน
ดังนั้นองค์หญิงยงหยางจึงโบกมือให้นางกำนัลผู้ติดตามนำม้วนภาพวาดมาคลี่แสดงเบื้องหน้าฉยงเหนียง
ความจริงไม่ต้องแสดงภาพ ฉยงเหนียงก็รู้ว่าสิ่งที่องค์หญิงวาดคือดอกเหมยเหมันต์กลางดินแดนหิมะ เพราะหัวข้อในวันพรุ่งนี้ก็คือดอกเหมยในฤดูหนาว ขุนนางหญิงผู้ออกหัวข้อนี้รู้จักกาลเทศะ จึงแย้มพรายหัวข้อให้องค์หญิงรู้ล่วงหน้าเพื่อที่จะได้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ
ชาติก่อนภาพดอกเหมยเหมันต์ขององค์หญิงยงหยางวาดได้ไม่เลว ดอกเหมยของคนอื่นๆ แม้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทว่าก็ไม่โดดเด่นเท่าใดนัก ภาพดอกเหมยเหมันต์ซึ่งบานสะพรั่งรับสายลมที่ฉยงเหนียงสาดหยดหมึกแล้วพ่นละอองน้ำ จึงกลายเป็นภาพที่เรียกเสียงโห่ร้องชื่นชมได้ทั่วโถงตำหนัก