X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เกิดใหม่เพื่อคืนฐานะเดิม บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่แปด

พอได้ยินฉู่เสียถามว่าคู่ควรหรือไม่ ฉยงเหนียงก็อยากจะพูดใส่หน้าเขาเพียงคำเดียวว่า ‘เพ้ย!’

ชาติก่อนกระทั่งซั่งอวิ๋นเทียนอยู่ในห้องนอนก็ยังเกรงใจที่จะกระทำรุ่มร่ามกับนางเกินงาม ทว่าตอนนี้นางกลับถูกบุรุษที่พบหน้ากันเพียงไม่กี่หนฉุดเข้าสู่อ้อมอกแล้วพูดกระซิบแนบหู นางจึงโกรธจนสองแก้มแดงก่ำในทันที

ทว่าบุรุษผู้นี้กลับมิใช่พวกที่จะตบหน้าหนึ่งฉาดสวนกลับไปได้ นางจึงได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับเพลิงโทสะเพื่อจะ ‘เจรจาต่อรองกับเขาดีๆ’

เพียงแต่สีแดงเข้มบนพวงแก้มหญิงงามในสายตาของฉู่เสีย กลับถูกมองเป็นกิริยาสะเทิ้นอายยามแรกประสาในความรัก แลดูเย้ายวนใจเป็นที่สุด

ช่วงที่ผ่านมาแม้เขาไม่ได้เข้าเมืองหลวง แต่ด้วยวัยเยาว์อยู่ในเมืองหลวงเป็นเพื่อนเรียนของเหล่าองค์ชายมาสามปี ทำให้ได้คบหาสหายที่ถูกคอกันจำนวนหนึ่ง หลายวันนี้เขาจึงไปร่วมงานเลี้ยงในคฤหาสน์ชานเมืองหลวงของสกุลต่างๆ มาสองสามงาน

ระหว่างลิ้มสุราพบปะสหาย เขาเองก็มีได้ยินข่าวลืออันคลุมเครือเกี่ยวกับสกุลหลิ่ว ใจความคร่าวๆ ว่าที่แท้คุณหนูสกุลหลิ่วถูกอุ้มผิดตัวไปตั้งแต่ยังเล็ก เร็วๆ นี้เองถึงได้สลับตัวคืนมา

อาจเพราะกลัวว่าคุณหนูตัวจริงที่สลับคืนมายังไม่เคยได้เห็นโลกกว้าง ตอนเข้าวังจะทำให้ฮองเฮาดูแคลน สองวันนี้หลิ่วฮูหยินจึงกำชับเป็นพิเศษให้บุตรชายคนโตพาบุตรสาวที่เปลี่ยนกลับมาใหม่ผู้นี้ไปออกงานเลี้ยงขนาดเล็กต่างๆ

สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจคือคุณหนูหลิ่วผิงชวนที่ว่ากันว่าถูกเลี้ยงดูอยู่ในตระกูลอันต่ำต้อยผู้นี้ก็มิด้อยเลย การวางตัวสง่าผ่าเผยเป็นธรรมชาติ อาภรณ์ตลอดร่างก็เป็นรูปแบบที่ยังไม่พบเห็นร้านใดวางขาย ทำให้เหล่าคุณหนูฮูหยินที่รักสวยรักงามแย่งกันสอบถาม ถึงได้รู้ว่าอาภรณ์เหล่านั้นหลิ่วผิงชวนเป็นผู้คิดค้นตัดเย็บออกมาเอง

นอกจากนี้ความสามารถเชิงวรรณศิลป์ของหลิ่วผิงชวนก็ไม่เลวเช่นกัน คำกลอนใน ‘หนังสือรวมบทกวีธารกระจ่าง’ ที่เรียบเรียงเป็นรูปเล่มเมื่อเร็วๆ นี้ก็ละเมียดละไมไพเราะ ทำให้ผู้คนเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อคุณหนูหลิ่วที่เพิ่งกลับตระกูลมาผู้นี้ไปทันที

ในงานเลี้ยงหนหนึ่งคนสกุลหลิ่วนำหนังสือรวมบทกวีมาแจกให้คนในงานอ่าน ฉู่เสียก็ได้รับมาหนึ่งเล่ม ในความคิดของเขาคุณหนูหลิ่วที่เปลี่ยนกลับมาใหม่ผู้นี้ไม่มีความแสบซุกซนที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวตนอันสง่างามของคุณหนูหลิ่วคนเก่า ทำให้ดูจืดชืดไปไม่น้อย

เดิมทีเข้าเมืองหลวงครานี้เขามีความคิดจะแต่งภรรยาแล้ว ตัวเลือกในใจก็คือแม่นางผู้ซุกซนที่ได้พบกันเมื่อปีก่อนนั่นเอง นี่มิใช่รักแรกพบอันใดที่เขาจะต้องแต่งด้วยให้ได้หรอก แต่ไรมาสตรีสำหรับเขาเป็นสิ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องแต่งมาสักคน เช่นนั้นมิสู้เป็นหลิ่วเจียงฉยงผู้นี้แล้วกัน

ข้อแรกเขาจะได้ลงโทษความปากไวของนาง ข้อสองหลิ่วเมิ่งถังบิดานางก็มีฐานะมั่นคงในราชสำนัก ทั้งไม่ได้นั่งตำแหน่งสำคัญที่อ่อนไหวเช่นกรมทหาร มีพ่อตาผู้นี้คอยสนับสนุนอยู่ในราชสำนัก ย่อมจะส่งผลดียิ่งต่อเขาที่อยู่เจียงตง

แต่นึกไม่ถึงว่าสกุลหลิ่วจะเกิดเหตุพลิกผันถึงขั้นอุ้มบุตรสาวมาผิดคน หลิ่วเจียงฉยงกลับคืนสกุลชุยแล้ว เขาผู้เป็นถึงท่านอ๋องย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะแต่งบุตรสาวพ่อค้าในตำบลเล็กๆ ดังนั้นหนังสือสู่ขอที่เตรียมจะส่งไปยังสกุลหลิ่วจึงเป็นอันยกเลิกไป

แม้หลิ่วผิงชวนพยายามแสดงท่วงทีอันผ่าเผย ทว่าเพียงปราดเดียวเขาก็มองทะลุถึงท่าทางของคนตระกูลต่ำต้อยที่อยู่ในตัวตนของนาง ซึ่งนั่นชวนให้เขารู้สึกเอือมระอา ทั้งไม่รู้เพราะเหตุใดท่าทางนางจึงคล้ายหวาดกลัวเขายิ่งนัก ยามที่หลิ่วเจียงจวีคุณชายสกุลหลิ่วมอบหนังสือรวมบทกวีถึงมือของเขา นางถึงขั้นหน้าถอดสี

นี่สะกิดให้เขาสงสัยขึ้นมาตงิดๆ จึงพลิกมือเปิดอ่านดู นึกไม่ถึงกลับได้เห็นคำกลอนอันคุ้นเคยของคนที่รู้จัก ตามคำกล่าวของคนสกุลหลิ่ว นี่เป็นผลงานที่หลิ่วผิงชวนเพิ่งประพันธ์เร็วๆ นี้ ทว่าเขากลับบังเอิญได้ยินใครบางคนเคยท่องอยู่ริมท่าข้ามฟากของลานล่าสัตว์เมื่อปีที่แล้ว

ยังจำได้ว่าตอนนั้นฝนเทลงมาดุจน้ำตก เสื้อกันฝนหญ้าถักที่คลุมอยู่บนร่างแม่นางน้อยผู้นั้นล้วนชุ่มโชก ทว่านางกลับนิ่งมองสายฝนอันหนาหนักอย่างเหม่อลอย ไม่หลงเหลือความคึกคักกระฉับกระเฉงยามด่าทอผู้อื่นที่ลานล่าสัตว์แม้แต่น้อย

ตอนที่เขานึกว่านางถูกน้ำฝนราดรดจนทึ่มทื่อไปแล้วนั้น นางก็พลันเอ่ยปากท่องกลอน ทั้งขัดเกลาคำอย่างจริงจังยิ่ง เฉพาะวรรคที่ว่า ‘ฝนโชกหญ้าชุ่มอาภรณ์คนมิกลับ ท่าข้ามฟากตะวันลับยังวนเวียน’ นั้นก็ปรับแก้ถึงสามหน ท่องซ้ำไปมาระหว่าง ‘ฝนกระหน่ำ’ ‘ฝนซัดคลั่ง’ และ ‘ฝนโชกหญ้า’ จนสุดท้ายถึงได้ข้อสรุป

และก็เพราะท่าทางจริงจังจดจ่อของนางในตอนนั้น ถึงทำให้เขาจดจำคำกลอนอันประดิดประดอยนี้ได้อย่างลึกซึ้ง

ไหนเลยจะคาดคิดว่าหนึ่งปีให้หลังคำกลอนที่ท่องกลางสายฝนริมท่าข้ามฟากนั้นกลับปรากฏในหนังสือรวมบทกวีของผู้อื่นเสียได้ ไม่รู้ว่านี่คือคำกลอนอันไพเราะที่หลิ่วผิงชวนบังเกิดอารมณ์กวีแต่งออกมาระหว่างขายขนมอยู่ข้างทางในตำบลฝูหรงใช่หรือไม่

ฉู่เสียคิดมาถึงตรงนี้แล้วพิศมองพวงแก้มแดงเข้มของหญิงสาวในอ้อมอกอีกครา ก็ยิ่งรู้สึกว่านางช่างน่าสงสารชวนถนอม แม้กระทั่งพฤติกรรมเสียมารยาทที่นางออกแรงผลักไสเขาออกห่างก็ดูไม่น่าโมโหถึงเพียงนั้นแล้ว

“เหตุใดเจ้าไม่ถามข้าถึงที่มาของหนังสือรวมบทกวีนี้เล่า” เขาโน้มตัวมาข้างหน้า ดวงตาหลุบลงมองนางพลางเอ่ย

ฉยงเหนียงเสียหลักจนนั่งแปะลงไปที่ด้านข้าง สายตาไปหยุดบนปกหนังสือที่ปิดแล้วเล่มนั้นพอดี บนนั้นยังคงลงนามว่า ‘ผู้สันโดษธารกระจ่าง’ เช่นเดียวกับในชาติก่อน ทว่าอาจเพราะความชอบส่วนตัวต่างกัน บนปกกับหน้ากระดาษจึงมีภาพสตรีในหอห้องเพิ่มมาไม่น้อย ทำให้ดูขาดความงดงามไปมาก

เห็นทีหลิ่วผิงชวนตั้งปณิธานจะเป็นสตรีผู้มากความสามารถแห่งยุค กระทั่งเรื่องลอกผลงานของผู้อื่นก็ยังทำออกมาได้ บิดามารดาสกุลหลิ่วก็มิเพียงไม่ได้ห้ามปราม ท่าทางยังออกแรงไปไม่น้อยเพื่อช่วยเรียบเรียงบทกลอนที่เมื่อก่อนฉยงเหนียงฝึกฝีมือแต่งทิ้งไว้

ยามนี้ฉู่เสียถามนางด้วยสีหน้าที่คล้ายกำลังรอชมเรื่องขบขัน ย่อมหมายจะเห็นนางเป็นเดือดเป็นแค้นที่รู้ว่าถูกขโมยผลงานไป ทว่านางคิดดูแล้วกลับไม่มีอารมณ์ที่พลุ่งพล่านนัก

คำกล่าวขวัญว่าเป็นสตรีผู้มากความสามารถนั้น สำหรับชีวิตอันง่อนแง่นของชาวบ้านสามัญแล้วไม่มีค่าแม้สักเฉียนเดียว หากหลิ่วผิงชวนชื่นชอบก็เชิญเอาไปใช้เถิด ตอนนี้ทั้งใจนางหวังแต่ว่าต่อไปร้านของตนจะมีเงินทองไหลมาเทมา นั่นจึงจะมีประโยชน์จริงแท้ยิ่งกว่าการออกหนังสือรวมบทกวีที่ฉ้อโกงคำสรรเสริญนี้มากนัก

ฉู่เสียมองนางพลางเอ่ยต่อช้าๆ “ครอบครัวเก่าของเจ้าเที่ยวนำหนังสือรวมบทกวีนี้มาแจกจ่าย บอกว่าเป็นผลงานประพันธ์ของคุณหนูสกุลหลิ่วผู้นั้น…”

ฉยงเหนียงยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี นางเอ่ยตัดบทเขาอย่างเรียบเฉย “บัดนี้ข้าน้อยไม่นิยมการประพันธ์เหล่านี้แล้ว สิ่งของจำพวกหนังสือรวมบทกวีก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าน้อยเช่นกัน หากมีคนชื่นชอบคำกลอนอันไร้เดียงสาเยี่ยงนี้ หากจะนำไปเผยแพร่ก็เชิญเถิด ท่านอ๋องทั้งปราดเปรื่องทั้งเป็นบุรุษผู้องอาจ ในเมื่อตกลงกับบิดามารดาของข้าน้อยว่าจะจ้างข้าน้อยมาเป็นแม่ครัว คาดว่าท่านอ๋องย่อมจะไม่สั่งเช้าอย่างเย็นเปลี่ยนอีกอย่าง ค่าจ้างเพียงห้าเฉียนยังจะให้ข้าน้อยทำงานอื่นเสริมอีก…”

นางไม่วางตนสูงส่ง แต่ก็ไม่วางตนต่ำต้อย ความใจกว้างที่ไม่เก็บเรื่องถูกขโมยผลงานมาเป็นอารมณ์โดยสิ้นเชิงเช่นนี้อยู่เหนือความคาดหมายของฉู่เสีย ทั้งเขายังฟังออกว่าในวาจานางแฝงความหมายเหน็บแนม จึงพลันถามลากเสียงยาว “ข้าให้เจ้าทำงานเสริมอันใดเล่า”

ฉยงเหนียงลงมานั่งคุกเข่าเรียบร้อยดังเดิม ค่อยตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน “งานอันรื่นรมย์เช่นการนั่งอิงในอ้อมอกเจ้านาย ปล่อยให้มือเล็กถูกเกาะกุมนั้น เดิมทีควรเป็นหน้าที่ของพระชายาและอนุนางบำเรอในจวนท่านอ๋อง ข้าน้อยไร้สามารถ ทำงานหยาบมาจนเคยชิน ทั่วร่างก็ฉาบไปด้วยเขม่าน้ำมัน ค่าจ้างเดือนละห้าเฉียนย่อมไม่อาจซื้อหาเครื่องประทินผิวมาบำรุงได้ไหว หากมือที่หยาบกร้านนี้พลั้งเผลอทำให้มืออันล้ำค่าของท่านอ๋องถลอกก็คงจะไม่งามแล้ว”

ฉู่เสียคิดในใจ เมื่อครู่ที่ข้ารู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้เปลี่ยนเป็นคนวางเฉยแล้วนั้นช่างเป็นภาพลวงตาที่ผิดถนัด ความเจ้าเล่ห์ในคำพูดของนางยังคงเดิมไม่ลดทอน อุปนิสัยก็พยศดื้อรั้น มิน่าเล่า กลับไปสกุลชุยแล้วถึงปรับตัวได้รวดเร็ว ถึงขั้นถือไม้ตากผ้าไล่ตีบุรุษที่เลียบแม่น้ำได้ น่าขันที่เมื่อแรกข้ามีความคิดจะแต่งนาง ความประพฤติเยี่ยงนี้คู่ควรเป็นชายาเอกของจวนอ๋องที่ใดกัน

“ไม่รู้เจ้าติดขัดที่งานเสริมเหน็ดเหนื่อยไป หรือว่าเงินน้อยไป จึงอยากขึ้นค่าจ้างเพื่อซื้อหาขี้ผึ้งหอมมาบำรุงมือให้เรียบลื่นกันแน่” ฉู่เสียเลิกคิ้วถาม

ในเมื่อฉยงเหนียงเอ่ยประเด็นที่ต้องการแล้ว นางย่อมจะเม้มปากไม่โต้ตอบ

ขายาวของฉู่เสียเหยียดออก แผ่นหลังพิงหมอนอิงที่อยู่ด้านข้างก่อนจะเยาะหยัน “ไม่ดูเสียบ้างว่าเจ้าทำอาหารอันใดมา ยังมีหน้าเอ่ยปากขึ้นค่าจ้างอีก”

“รสชาติไม่ถูกต้องตรงที่ใด ขอท่านอ๋องได้โปรดชี้แนะ” พอฉยงเหนียงได้ยินวาจานี้ก็พลันเบิกตาโตราวลูกแมวที่ถูกเหยียบหาง ไม่เหมือนเมื่อครู่สักนิดที่นิ่งเฉยไม่ยินดียินร้ายแม้จะได้ยินว่าบทกลอนถูกขโมยไป

ฉู่เสียแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “เพื่อให้สุกเร็วขึ้น เป็ดนี้ผ่าอกแล้วค่อยนึ่งกระมัง ไอน้ำชะกลิ่นหอมของฟางข้าวไปจนหมด ส่วนขนมนั่นก็พักแป้งไม่นานพอ กัดแล้วแข็งกระด้างอยู่บ้าง…ไม่ทราบว่าคุณหนูชุยเห็นข้าหลางอ๋องเป็นลูกค้าริมถนนที่หลอกได้ง่าย หรือว่าไม่พอใจที่หักเงินเจ้าไปชดใช้ค่ารถม้า”

นึกไม่ถึงเลยความคิดเล็กๆ ในใจนางจะถูกเขามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งนึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องผู้นี้จะเป็นนักกินขนานแท้ ถึงกับชิมออกว่าข้อบกพร่องอยู่ตรงที่ใด ทำให้ฉยงเหนียงพลันรู้สึกละอายจากใจจริง

ความจริงเมื่อครู่ตอนที่นางกินเองในครัวเล็กก็รู้สึกได้ว่ารสชาติยังมีที่ติอยู่ แต่เป็นเพราะความเกียจคร้านหละหลวมชั่วขณะหนึ่ง ทำให้ฝีมือที่ตนเตรียมจะใช้สร้างเนื้อสร้างตัวถึงกับล้มไม่เป็นท่าในจวนอ๋อง ซ้ำถูกผู้อื่นอบรมอีกด้วย ความรู้สึกอับอายนี้ช่างเหมือนตอนที่ถูกอาจารย์ในสำนักศึกษาหญิงตำหนิไม่มีผิด

รอจนฉู่เสียแจกแจงข้อเสียของอาหารเรียกน้ำย่อยจานเย็นนั้น ฉยงเหนียงก็รีบร้องว่า “ช้าก่อน” จากนั้นก็ฉวยกระดาษกับพู่กันที่วางอยู่ข้างโต๊ะหนังสือมาจุ่มน้ำหมึกจดสิ่งที่ต้องปรับปรุงลงไป ท่าทางอันจริงจังของนางทำให้ผู้ติเตียนหงุดหงิดอย่างห้ามไม่อยู่

ว่ากันเฉพาะเรื่องกฎระเบียบ ดูเหมือนแม่นางชุยผู้นี้จะยังปรับตัวกับฐานะใหม่ของตนเองมิได้ การกระทำเช่นคุณหนูตระกูลใหญ่ในอดีตจึงยังคงทิ้งร่องรอยให้เห็น

หากเป็นผู้อื่นล่ะก็ ลำพังพฤติกรรมที่อาจหาญหยิบกระดาษบนโต๊ะของฉู่เสียเช่นนี้ก็จะต้องถูกหักกระดูกนิ้วมือทั้งสิบ ทว่าพอคำต่อว่าเอ่อล้นขึ้นมาถึงริมฝีปาก เขากลับค่อยๆ กลืนมันลงไปเสียอย่างนั้น

ไม่รู้เพราะเหตุใดฉู่เสียจึงหักใจไม่ค่อยลงที่จะทำลายความสงบเงียบชั่วครู่ในห้องหนังสือแห่งนี้ คนงามดุจหยกสลักกำลังโน้มตัวอยู่เหนือโต๊ะ เส้นผมยาวปอยหนึ่งที่ไม่ถูกยึดด้วยปิ่นทิ้งตัวลงมาตรงหน้าอก แพขนตาที่งอนยาวของนางสั่นไหวนิดๆ ตามปลายพู่กันที่ขยับขึ้นลง

ความรู้สึกผิดปกติชนิดหนึ่งที่ห่างหายไปนานพลันท่วมท้นในหัวใจของเขา เฉกเช่นในวันฝนตกเมื่อหนึ่งปีก่อน ที่ท่าข้ามฟากริมแม่น้ำซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกฝน ยามเห็นคนงามกำลังมองเหม่อพลางยื่นนิ้วมือเรียวออกไปรองรับน้ำฝนที่หยดหยาด…

ตอนนี้เองก็มีคนมารายงานที่นอกห้องหนังสือ “เรียนท่านอ๋อง องค์หญิงยงหยางเสด็จมาอีกแล้วขอรับ องครักษ์ที่เฝ้าประตูขวางไว้ไม่อยู่ เมื่อครู่ทรงบุกเข้ามาถึงเรือนชั้นนอกแล้ว…”

ยังไม่ทันจะขาดคำ เสียงอันหวานหยดที่ตะโกนเรียกชื่อเล่นของหลางอ๋องก็ดังเข้ามาก่อน “พี่วั่งซาน! ดูบ่าวกำเริบที่ท่านเลี้ยงไว้พวกนี้สิ ถึงกับกล้าบังอาจมาขวางทางข้า!” พร้อมกับถ้อยคำเหล่านั้นหญิงสาวที่มุ่นมวยสูงสวมกระโปรงยาวผู้หนึ่งก็บุกรุกเข้าห้องหนังสือมาโดยตรง

องค์หญิงยงหยางเดิมทียังประดับยิ้มบนใบหน้า ทว่าพอเห็นฉยงเหนียงที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะเตี้ยของฉู่เสียชัดถนัดตา สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนแล้วกล่าวทั้งน้ำตา “นางเป็นใครกัน ท่าน…ท่านรับนางบำเรอคนใหม่อีกแล้วหรือ!”

ผู้ที่ติดตามอยู่เบื้องหลังองค์หญิงยงหยางคือบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง เขาเห็นฉยงเหนียงที่เพิ่งจะเงยหน้าแล้วเช่นกัน ดวงตาจึงเบิกกลมในทันที “น้องสาว ไฉนเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้!”

ผู้ที่มามิใช่ใครอื่น…ก็คือหลิ่วเจียงจวีพี่ชายในวันวานของฉยงเหนียง

เดิมทีองค์หญิงยงหยางกำลังจะโวยวาย ไม่นึกว่าคุณชายสกุลหลิ่วที่อยู่ด้านหลังซึ่งเป็นหัวหน้าองครักษ์วังหลวงที่อารักขานางออกจากวังมาวันนี้จะเรียกแม่นางคนนั้นว่า ‘น้องสาว’ นางจึงเงียบเสียงเตรียมจะฟังความให้กระจ่างก่อน

พอเห็นหลิ่วเจียงจวีจับจ้องฉยงเหนียงอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง อารมณ์ของฉู่เสียก็พลันไม่ปลอดโปร่งนัก เขาจึงสั่งการฉยงเหนียงทันที “ข้ามีแขก เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

ฉยงเหนียงพลันได้พบอดีตพี่ชายที่นี่ ในใจก็ประดังไปด้วยสารพันอารมณ์เช่นกัน ตอนเด็กนางกับหลิ่วเจียงจวีมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวนัก ทว่าเมื่อพี่ชายโตขึ้นมีงานที่จะต้องทำ เขาไม่ค่อยได้กลับมาจวน จึงเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่แน่นแฟ้นเท่าพี่น้องคู่อื่น

เมื่อแรกที่ข้าถูกส่งตัวออกจากจวนสกุลหลิ่ว พี่ชายผู้นี้ก็คงไม่อยู่ในจวน คาดว่าน่าจะไปร่วมการฝึกซ้อมขององครักษ์วังหลวง เพราะหากว่าเขาอยู่ด้วยก็คง…

ฉยงเหนียงไม่ได้คิดต่อ เพียงนึกถึงหนังสือรวมบทกวีที่ถูกเปลี่ยนเจ้าของเล่มนั้น นางก็พลันตระหนักได้ว่าคนสกุลหลิ่วต้องไม่อยากให้นางที่เป็นบุตรสาวสกุลชุยมาขวางทางสู่การเป็นสตรีผู้มากความสามารถของหลิ่วผิงชวน ดังนั้นนางจึงทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของหลิ่วเจียงจวี รีบก้มหน้าสาวเท้าเดินเฉียดไหล่อดีตพี่ชายออกไป

จิตใต้สำนึกของหลิ่วเจียงจวีอยากจะไล่ตามนางไป ทว่าจนใจที่ตนกำลังปฏิบัติหน้าที่อารักขาองค์หญิงระหว่างออกจากวัง ย่อมไม่อาจจากไปแม้ครึ่งก้าว

ชื่อเสียงของหลางอ๋องย่ำแย่เหลือทน ใจเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาวจึงประสานมือสอบถามโดยไม่รั้งรอ “ข้าน้อยหัวหน้าองครักษ์วังหลวงหน่วยกิเลน ขอบังอาจเรียนถามหลางอ๋อง น้องสาวข้าน้อยมาอยู่ในจวนของท่านอ๋องด้วยสาเหตุใด”

ฉู่เสียลุกขึ้นยืนก่อนย้อนถามอย่างไม่อินังขังขอบ “พักก่อนคุณหนูหลิ่วผิงชวนที่ข้าเห็นในงานเลี้ยงมิใช่น้องสาวร่วมอุทรของเจ้าหรือไร ไฉนแม่ครัวในจวนข้าถึงกลายเป็นคุณหนูสกุลหลิ่วไปเสียแล้วเล่า”

ฉู่เสียคาดการณ์อย่างแม่นยำว่าความลับของสกุลหลิ่วนี้เพียงรู้กันอยู่ในใจทว่าไม่อาจกล่าวออกจากปาก คำถามของเขาจึงทำให้หลิ่วเจียงจวีเงียบกริบดังคาด

เมื่อแรกที่ฉยงเหนียงถูกส่งตัวคืนสกุลชุย หลิ่วเจียงจวีไม่อยู่ในจวนพอดี รอจนกลับมาน้องสาวก็เปลี่ยนตัวไปแล้ว ใจเขาห่วงพะวงถึงฉยงเหนียง อยากจะรับนางกลับมา แต่จนใจที่มารดาสะอื้นไห้อย่างปวดร้าว ซักถามเขาว่าหากรับฉยงเหนียงกลับมาแล้ว หมายจะให้น้องสาวแท้ๆ ตกอยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนหรือไร บิดาก็เอาแต่ส่ายหน้าทอดถอนใจว่าไม่เหมาะเช่นกัน

หลิ่วเจียงจวีเห็นบิดามารดายับยั้งห้ามปราม จึงเลิกวุ่นวายเรื่องรับน้องสาวกลับมาอีก เพียงเตรียมจะหาเวลาว่างไปเยือนสกุลชุยเพื่อดูความเป็นอยู่ของนาง หากสามีภรรยาสกุลชุยไม่อาจดูแลนางให้ดี เขาก็จะมอบเงินให้สกุลชุยแล้วพานางออกมา ต่อไปเรื่องออกเรือนของนางก็ให้พี่ชายคนนี้ดูแลเป็นใช้ได้

ทว่าจนใจที่งานในวังไม่อาจปลีกตัวโดยพลการ เขายังคงไม่ว่างเรื่อยมา เดิมทีคิดว่ารอหลังเทศกาลซั่งซื่อจะลาหยุดออกจากวัง ไม่นึกว่ากลับได้มาพบฉยงเหนียงที่นี่

แม้เคยคิดเอาไว้ว่าความเป็นอยู่ของน้องสาวคงไม่ราบรื่น แต่เมื่อได้เห็นนางในชุดหรูฉวินเนื้อหยาบคุกเข่าเป็นผู้น้อยรับใช้อย่างต่ำต้อยอยู่ต่อหน้าผู้อื่น หลิ่วเจียงจวีก็ยังรู้สึกเจ็บปวดราวหัวใจถูกบีบแน่น

ฉยงเหนียงที่แต่เล็กเคยชินกับการจุดกำยานดีดพิณและท่องกลอนวาดภาพ มีหรือจะทนรับความลำบากไหว ซ้ำยังมาเป็นแม่ครัวให้หลางอ๋องผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่นี่อีก

ตอนที่เขาเข้ามาเมื่อครู่เห็นชัดถนัดตา หลางอ๋องจงใจโน้มตัวประชิดเข้าใกล้ฉยงเหนียง เจตนาจะหยอกเอินแทะโลมนางอย่างแจ่มแจ้งยิ่ง เห็นชัดว่าหมายตาน้องสาวของเขาอยู่

คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วเจียงจวีก็เอ่ยเสียงหนัก โดยไม่มัวคำนึงถึงคำกำชับของบิดามารดาอีก “ข้าน้อยเชื่อว่าหลางอ๋องน่าจะได้ยินข่าวและรู้เรื่องลับในสกุลหลิ่วแล้ว ฉยงเหนียงคือน้องสาวที่อยู่ร่วมกับข้าน้อยทุกเช้าค่ำมานานสิบห้าปี บัดนี้นางตกยาก ข้าน้อยมีเหตุผลใดที่จะไม่ยุ่งเกี่ยว”

ฉู่เสียแสนจะไม่ชอบฟังคำว่า ‘อยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำ’ ในเมื่อเป็นบุรุษสตรีที่ไร้ซึ่งความเกี่ยวพันทางสายเลือดก็พึงเลี่ยงคำครหาใช่หรือไม่ ทว่าหลิ่วเจียงจวีผู้นี้กลับดึงดันจะเอ่ยถึงความผูกพันของตนเองกับฉยงเหนียง…

เมื่อในใจอึดอัดขัดเคือง ฉู่เสียย่อมต้องระบายออกมา ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ยามปกติก็เคร่งขรึมไม่ช่างยิ้มอยู่แล้วยิ่งเยียบเย็นขึ้นอีกหลายส่วน “หากมิใช่ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าช่วยน้องสาวแท้ๆ แจกหนังสือรวมบทกวีไปทั่ว เพียงฟังจากคำพูดในตอนนี้ก็คงจะเชื่อว่าเจ้ากับแม่ครัวของข้าเป็นพี่น้องที่ผูกพันแน่นแฟ้นจริงๆ”

ฉู่เสียพูดพลางโยน ‘หนังสือรวมบทกวีธารกระจ่าง’ เล่มนั้นไปที่ข้างเท้าหลิ่วเจียงจวี ก่อนเอ่ยต่อด้วยสีหน้าดูแคลน “พวกเจ้าสกุลหลิ่วอยากจะสลับตัวบุตรสาวแท้ๆ คืนมา เดิมทีนี่เป็นเรื่องในครอบครัวพวกเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถก้าวก่ายได้ แต่ในเมื่ออีกคนก็เป็นบุตรสาวที่เลี้ยงดูมาหลายปี พวกเจ้ากลับไม่เห็นแก่ความผูกพันแม้แต่น้อย ทำตัวเยี่ยงโจรที่น่าอดสู ขโมยบทกลอนของผู้อื่นไปสร้างชื่อหน้าตาเฉย จวนหลางอ๋องของข้าแม้อยู่ห่างไกลถึงเจียงตง ทว่าของกินของใช้ก็ไม่ต่างจากสกุลหลิ่วนักหรอก ในเมื่อชุยเจียงฉยงเป็นคนในจวนข้า ข้าย่อมปฏิบัติต่อนางอย่างเป็นธรรม หัวหน้าองครักษ์หลิ่วโปรดระวังคำพูดด้วย อย่าได้ก้าวก่ายเรื่องคนในจวนอ๋อง”

หลิ่วเจียงจวีฟังจนตะลึงงัน ก้มหน้าเพ่งมองไปยังหนังสือรวมบทกวีเล่มนั้น

แต่เล็กเขาก็ชื่นชอบวิชายุทธ์ ไม่นิยมอักษรและโคลงกลอน เมื่อมารดานำหนังสือรวมบทกวีที่ทำขึ้นเองมาบอกว่าเป็นผลงานของหลิ่วผิงชวนน้องสาวเขา ให้เขานำไปแจก ตอนนั้นเขาไม่ได้พลิกอ่านด้วยซ้ำ เพียงทำตามคำสั่ง นำไปมอบให้แขกเหรื่อในงานเลี้ยงอ่าน ไหนเลยจะคาดคิดว่าแท้ที่จริงหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานของฉยงเหนียง!

ฉู่เสียคร้านจะดูสีหน้าเสียใจภายหลังของหลิ่วเจียงจวี หลังจากพูดถากถางจบก็เอ่ยเสียงกังวาน “ฉังจิ้น ส่งแขก! คนที่เข้าเวรในสวนวันนี้ให้ไปรับโทษโบยห้าสิบไม้ด้วยตนเอง คราวหน้าหากปล่อยใครเข้ามาส่งเดชอีก จงลงโทษโบยจนกว่าจะตาย!”

เมื่อครู่องค์หญิงยงหยางยืนอยู่ด้านข้างรับฟังเรื่องบุญคุณความแค้นของลูกแท้ลูกเลี้ยงสกุลหลิ่วอย่างกังขา นางจดจ่อจนลืมจุดประสงค์เดิมที่มาเยือน กระทั่งได้ยินฉู่เสียออกคำสั่งเชือดไก่ให้ลิงดูนี้ นางถึงขอบตาแดงเรื่อ ทว่าฉู่เสียโกรธขึ้นมาแล้ว ขืนตอนนี้นางใช้แข็งปะทะแข็งกับเขาย่อมไม่มีผลดีเป็นอันขาด

นางวิ่งตามหลังฉู่เสียต้อยๆ มาตั้งแต่เล็ก สังเกตดูสีหน้าเขาจนเคยชินแล้ว ทั้งไม่กล้าวางอำนาจในฐานะคนของราชวงศ์ จึงได้แต่ฝืนข่มความน้อยเนื้อต่ำใจลงไปแล้ววางเทียบเชิญฉบับหนึ่งบนโต๊ะของเขา “พรุ่งนี้คือเทศกาลซั่งซื่อ ในวังจะครึกครื้นยิ่ง หวังว่าพี่วั่งซานจะเจียดเวลาไป” จบคำนางก็ไม่ไยดีหลิ่วเจียงจวี สูดจมูกวิ่งซอยเท้าออกไปทั้งน้ำตา

หลิ่วเจียงจวีกำหนังสือรวมบทกวีเล่มนั้นไว้แน่น มุ่นคิ้วเข้มพลางเดินตามออกไป

ชั่วพริบตาห้องหนังสือก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบเช่นกาลก่อน

ฉู่เสียหยิบตะเกียบหยกสีงาช้างคีบขนมโก๋ถั่วเขียวที่เย็นชืดแล้วหนึ่งชิ้นใส่เข้าปาก วันนี้ลิ้นที่เย่อหยิ่งจนเคยตัวถึงกับยอมลำบากใจกลืนขนมชิ้นนั้นลงไปช้าๆ เขาอ่านตำราพิชัยสงครามในมือต่อ แต่ในใจกลับคิดว่าวันเทศกาลซั่งซื่อเดิมทีฉยงเหนียงควรจะได้แต่งกายงดงามเข้าวังไปด้วยกัน น่าเสียดายตอนนี้กลับถูกสตรีหน้าไม่อายผู้หนึ่งยึดครองตำแหน่งไปอย่างเสียเปล่า

คิดมาถึงตรงนี้เขาก็เงยหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ซึ่งสามารถมองเห็นเงาหลังในชุดหรูฉวินเนื้อหยาบนั้นได้รำไร…

 

ภายหลังฉยงเหนียงออกมาจากห้องหนังสือก็กลับมาที่เรือนเล็กของตน รอจนส่องคันฉ่องสำริดดู นางถึงค่อยพบว่าปิ่นปักผมคลายออกอีกแล้ว เพียงคิดว่าเมื่อครู่สภาพเช่นนี้ของตนตกอยู่ในสายตาหลิ่วเจียงจวี นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ยกมือหวีเรือนผมใหม่อีกหน ทว่าเพิ่งเกล้ารวบไปได้ครึ่งทาง เสียงเคาะประตูก็ดังมาจากนอกลานเรือนเสียก่อน

ฉยงเหนียงจึงได้แต่สยายเรือนผมเดินไปถึงประตูลานเรือน จากนั้นก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังจากนอกประตูเข้ามาให้ได้ยิน “ฉยงเหนียง พี่เอง เจ้าสะดวกเปิดประตูพบพี่สักครู่หรือไม่”

ที่แท้หลิ่วเจียงจวีขออนุญาตองค์หญิงยงหยางมาทำธุระส่วนตัวสักครู่ พอออกจากเขตเรือนชั้นใน เขาก็ตรงมาหาน้องสาวเพื่อจะสนทนากัน ทว่ารอจนฉยงเหนียงแง้มเปิดบานประตูครึ่งหนึ่ง หัวใจของเขากลับหดเกร็งอีกครั้ง

เรือนผมยาวดุจต่วนแพรของอดีตน้องสาวแผ่คลุมอยู่เบื้องหลังลำคอระหง ยิ่งขับเน้นให้ดวงหน้าเล็กรูปเมล็ดแตงดูขาวผ่องนวลเนียน ทำให้เขาเห็นแล้วทั้งหวงแหนทั้งปวดใจ

หลิ่วเจียงจวีเอ่ยถาม “เป็นเพราะสามีภรรยาสกุลชุยทำทารุณกับเจ้า ขายเจ้าเข้ามาเป็นบ่าวในจวนอ๋องใช่หรือไม่”

ฉยงเหนียงเห็นสีหน้าเขาไม่สู้ดี ทั้งฉาบด้วยโทสะ มีท่าทีว่าอึดใจถัดมาจะไปคิดบัญชีกับผู้อื่นแล้ว นางจึงรีบชี้แจง “พ่อแม่ข้ารักถนอมข้ามาก พี่ชายไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก” จากนั้นนางก็เล่าสาเหตุที่ตนเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องให้เขาฟังอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

หลิ่วเจียงจวีแม้อายุยังน้อย ทว่ารูปกายสูงใหญ่ อุปนิสัยสุขุมหนักแน่น จึงดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริงมาก ทว่าชั่วขณะนี้ต่อให้เขาเยือกเย็นสักเพียงใดก็ไม่อาจกดข่มโทสะได้อีกต่อไป “ฉู่เสียตัวดี นี่ไม่ใช่การกรรโชกทรัพย์หรอกหรือ เขาจำเพาะหลอกเจ้าเข้าจวนมีเจตนาอะไรกันแน่ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล พี่จะรีบกลับไปรวบรวมเงินมาให้เขา ไถ่อิสรภาพเจ้าออกจากที่นี่”

ฉยงเหนียงกำลังจะเอ่ยปาก หลิ่วเจียงจวีก็ชิงพูดตัดบทนาง “ท่านพ่อท่านแม่มีสิ่งที่พวกท่านต้องคำนึงถึง การกระทำบางอย่างอาจไม่ค่อยเป็นธรรมต่อเจ้า ทว่าเจ้าอย่าได้เก็บความแค้นเคืองไว้ในใจเลย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ยังคงเป็นน้องสาวของพี่ ทุกเรื่องพี่จะปกป้องเจ้าเอง”

ในใจฉยงเหนียงตื้นตันยิ่งนัก ชาติก่อนยามที่ไม่ราบรื่นดังหวัง นางไม่อาจได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่วเจียงจวีแม้เพียงนิด ในใจนางไม่เคยเคืองโกรธก็จริงอยู่ แต่ก็รู้สึกว่าพี่ชายผู้นี้ยากจะเข้าใกล้ นึกไม่ถึงเลยว่าชาตินี้เขาจะห่วงใยนางเช่นนี้ มาคิดดูแล้วเกรงว่าชาติก่อนนางคงเข้าใจพี่ชายผิดไป ตอนนั้นเขายังอยู่ที่ค่ายทหารชายแดน สองคนพี่น้องไม่มีโอกาสพบหน้า เรื่องราวมากมายของนางเขาย่อมไม่ล่วงรู้

ตอนนี้เองมีคนผู้หนึ่งเดินมาทางด้านหลังของหลิ่วเจียงจวี ก็คือองค์หญิงยงหยาง

ชาติก่อนนางกับองค์หญิงยงหยางสนิทกันมากทีเดียว องค์หญิงผู้นี้แม้เป็นพระธิดาที่จยาคังตี้เอ็นดูมากที่สุด ทว่าต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใดจึงสูญเสียความโปรดปรานและถูกหมางเมินยิ่งขึ้นทุกที ซ้ำเส้นทางความรักขององค์หญิงก็ไม่ราบรื่น แรกสุดเลือกคู่ครองเป็นบุตรชายใต้เท้าเซินซึ่งเป็นพระอาจารย์ของรัชทายาท ทว่าสามีผู้นั้นบุญน้อยอายุสั้น ทำให้องค์หญิงต้องเป็นม่ายตั้งแต่อายุยี่สิบ

ถัดมาองค์หญิงเลือกพระสวามีเองอีกครั้ง โดยอภิเษกสมรสใหม่กับแม่ทัพผู้หนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เขาประจำการอยู่ข้างนอกตลอดปี อนุที่เลี้ยงอยู่ทางนั้นสองคนล้วนให้กำเนิดบุตรชายหญิงแล้ว ผิดกับองค์หญิงทางนี้ที่ไร้ทายาทมาโดยตลอด ในใจองค์หญิงเป็นทุกข์จึงมักมาหาฉยงเหนียงที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเพื่อให้ช่วยปลอบโยน

บัดนี้องค์หญิงยงหยางยังคงได้รับการทะนุถนอมอยู่ในวังหลวง ไม่รู้จักรสชาติความขื่นขมของชีวิตคน คิ้วตาของนางจึงยังชี้เชิดพลางถามด้วยสีหน้าอิจฉา “พี่วั่งซานเลือกเจ้าเป็นแม่ครัว เพราะมีใจให้เจ้าใช่หรือไม่”

ฉยงเหนียงมององค์หญิงยงหยางอย่างสะทกสะท้อนใจไม่น้อย ด้วยรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังคงคบหาบุรุษผิดพลาดไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย บุรุษที่ชมชอบในวัยแรกรุ่นก็มิใช่คนดีอันใด

เดิมทีองค์หญิงยงหยางจะมาซักถามเอาผิด แต่กลับเห็นแม่ครัวเล็กผู้นี้มองมาด้วยแววตาเห็นใจ จึงพลันเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ก่อนจะขึงตาถามย้ำ “ข้าพูดอยู่กับเจ้า เหตุใดจึงไม่ตอบ!”

ฉยงเหนียงหลุบดวงตาแล้วย่อกายกล่าว “หม่อมฉันถูกเลือกเป็นแม่ครัว ย่อมเป็นเพราะทำอาหารอร่อย ไม่ทราบเหตุใดองค์หญิงทรงคิดไปถึงเรื่องอื่นได้ เพียงเพราะหม่อมฉันชาติกำเนิดต่ำต้อย ก็จะไม่ต้องการชื่อเสียงอันดีงามของสตรีแล้วหรือเพคะ”

หากเปลี่ยนเป็นผู้สูงศักดิ์ท่านอื่นจากในวัง ฉยงเหนียงย่อมไม่กล้าโผงผางเพียงนี้ ทว่านางรู้จักอุปนิสัยขององค์หญิงยงหยางลึกซึ้งดี อีกฝ่ายเพียงแต่ถูกประคบประหงมอยู่ในวังจนไม่ค่อยรู้จักโลกภายนอก จึงพูดจาเป็นคนพาลพาโลอยู่บ้าง แต่แท้ที่จริงเป็นคนจิตใจดียิ่งกว่าใคร หาไม่ชาติก่อนคงไม่ปล่อยให้พระสวามีคนใหม่กำเริบเสิบสานเพียงนั้น ถึงขั้นให้อนุสองคนที่เลี้ยงอยู่ข้างนอกมีบุตรข้ามหน้าข้ามตา ทั้งที่ภรรยาเอกยังไร้ซึ่งทายาท

จริงดังคาด พอองค์หญิงยงหยางได้ยินคำพูดของฉยงเหนียงก็รู้สึกผิดบาปขึ้นมา เมื่อครู่นางได้ฟังคำสนทนาระหว่างหลิ่วเจียงจวีกับฉู่เสีย ย่อมรู้แล้วว่าแม่ครัวเล็กผู้นี้เดิมทีถูกเลี้ยงดูในฐานะบุตรีภรรยาเอกของสกุลหลิ่วมาตลอด น่าเสียดายที่ตอนนี้ถูกส่งตัวกลับครอบครัวเดิม แม้กระทั่งบทกลอนก็ยังถูกขโมยเอาไป นี่เป็นความอยุติธรรมสักเพียงใดกัน ทว่าตนกลับเสียมารยาทเช่นนี้อีก มองอย่างไรก็คือการซ้ำเติมผู้อื่น

องค์หญิงยงหยางจึงรีบชี้แจงเป็นพัลวัน “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าล่อลวงพี่วั่งซาน เพียงอยากจะเตือนเจ้าว่าข้างกายเขามีนางบำเรอมากมายยิ่ง มิใช่ตัวเลือกสามีที่รักเดียวใจเดียว หากวันหน้าเจ้าจะออกเรือน ควรหาคนที่ซื่อสัตย์อยู่ในกรอบถึงจะดี!”

ฉยงเหนียงลอบทอดถอนใจ ตอบเงียบๆ อยู่ในใจว่า…ถ้อยคำนี้หม่อมฉันก็อยากจะน้อมเตือนองค์หญิงเช่นกันเพคะ

หลังจากพูดแก้สถานการณ์ที่ตนพลั้งปากไปเมื่อครู่ กลับทำให้ในใจองค์หญิงยงหยางยิ่งหดหู่ จึงเอ่ยด้วยท่าทีห่อเหี่ยว “เดิมทีมาเที่ยวนี้อยากจะขอให้พี่วั่งซานชี้แนะภาพวาดของข้าสักหน่อย งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้จะมีการประชันภาพวาด ถึงแม้เหล่าคุณหนูตระกูลต่างๆ จะล้วนอ่อนข้อให้ข้า แต่ข้าเองก็ต้องมุมานะ แสดงให้เห็นบ้างว่าข้ามีฝีมือที่แท้จริงเช่นกัน อยู่ในวังไม่ได้ยินวาจาจริงสักประโยค เดิมอยากให้พี่วั่งซานติชมภาพข้าตามตรง แต่ตอนนี้เขากำลังโกรธไม่ยอมพบใคร นี่ก็ใกล้เวลาต้องกลับวังแล้ว ข้าควรไปหาผู้มีสายตาเฉียบแหลมไม่ธรรมดาจากที่ใดมาชี้แนะกันเล่า”

หลิ่วเจียงจวีอยากอยู่เยี่ยมน้องสาวนานหน่อย พอได้ยินเช่นนี้จึงสบโอกาสกล่าว “น้องสาวผู้นี้ของกระหม่อมก็เป็นยอดฝีมือด้านภาพวาด หากองค์หญิงทรงไม่รังเกียจ จะให้ฉยงเหนียงชมดูผลงานอันสูงส่งของพระองค์ได้หรือไม่”

อันที่จริงองค์หญิงยงหยางก็ไม่อยากจากไปเร็วนัก เมื่อครู่แม้มีคำสั่งไล่แขกแล้ว ทว่าหากดันทุรังอยู่ที่นี่นานขึ้นอีกสักหน่อย ได้พูดคุยกับแม่ครัวของพี่วั่งซานก็เหมือนได้ใกล้ชิดเขามากขึ้นอีกนิดเช่นกัน

ดังนั้นองค์หญิงยงหยางจึงโบกมือให้นางกำนัลผู้ติดตามนำม้วนภาพวาดมาคลี่แสดงเบื้องหน้าฉยงเหนียง

ความจริงไม่ต้องแสดงภาพ ฉยงเหนียงก็รู้ว่าสิ่งที่องค์หญิงวาดคือดอกเหมยเหมันต์กลางดินแดนหิมะ เพราะหัวข้อในวันพรุ่งนี้ก็คือดอกเหมยในฤดูหนาว ขุนนางหญิงผู้ออกหัวข้อนี้รู้จักกาลเทศะ จึงแย้มพรายหัวข้อให้องค์หญิงรู้ล่วงหน้าเพื่อที่จะได้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ

ชาติก่อนภาพดอกเหมยเหมันต์ขององค์หญิงยงหยางวาดได้ไม่เลว ดอกเหมยของคนอื่นๆ แม้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทว่าก็ไม่โดดเด่นเท่าใดนัก ภาพดอกเหมยเหมันต์ซึ่งบานสะพรั่งรับสายลมที่ฉยงเหนียงสาดหยดหมึกแล้วพ่นละอองน้ำ จึงกลายเป็นภาพที่เรียกเสียงโห่ร้องชื่นชมได้ทั่วโถงตำหนัก

ฉยงเหนียงลอบถอนใจอีกครา รู้สึกว่าตนเองในชาติก่อนช่างเอาชนะคะคานเสียจริง ไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้หน้าให้หลุดลอยไปเลย ทว่าชาตินี้นางไม่มีวาสนาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังแล้ว ผู้ที่จะทอประกายเจิดจรัสในงานเกรงว่าคงเป็นหลิ่วผิงชวนแทน

นึกถึงหนังสือรวมบทกวีที่ถูกเปลี่ยนเจ้าของแล้วเล่มนั้น แม้ฉยงเหนียงไม่ได้ใส่ใจนักที่ถูกผู้อื่นขโมยผลงานเอาชื่อเสียงไป แต่เมื่อถูกคางคกตกใส่หลังเท้า ต่อให้มันไม่กัดก็ทำให้รู้สึกขยะแขยงตายได้

คิดมาถึงตรงนี้จิตใจของฉยงเหนียงจึงหวั่นไหวเล็กน้อย นางพินิจภาพวาดแล้วยิ้มตอบ “ภาพดอกเหมยเหมันต์ขององค์หญิงมองปราดเดียวก็รู้ว่าศึกษามาจากอาจารย์ผู้ลือนาม กิ่งเหมยมีพลังเฉกเช่นของปรมาจารย์หานขู่ราชวงศ์ก่อน กลีบดอกใช้วิธีลดทอนน้ำหมึกลงสามส่วน ยิ่งทำให้ดอกเหมยแลดูบริสุทธิ์สูงส่ง”

องค์หญิงยงหยางฟังจบก็เอ่ยด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “เจ้ารู้จักภาพวาดจริงเสียด้วย สิ่งที่พูดมาล้วนตรงตามนั้นยิ่ง”

ฉยงเหนียงคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยต่อ “อันที่จริง…หม่อมฉันยังมีวิธีวาดที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่ง ไม่รู้องค์หญิงทรงโปรดจะชมดูหรือไม่”

การชมดูเที่ยวนี้เสียเวลาไปพอสมควรทีเดียว รอจนองค์หญิงยงหยางกับหลิ่วเจียงจวีออกจากจวนหลางอ๋อง เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว

องค์หญิงยงหยางไม่นึกเลยว่าจะได้พบเจอสหายผู้รู้ใจที่จวนหลางอ๋อง เนื่องจากพี่สาวของนางล้วนโตกว่ามากจึงเล่นด้วยกันไม่ถูกคอ ผิดกับแม่นางผู้นี้ที่พูดคุยกับองค์หญิงเช่นนางอย่างไม่ถ่อมตัวทว่าก็ไม่เย่อหยิ่ง ทุกประโยคล้วนเข้าถึงจิตใจนาง เข้าใจความคิดนางได้ดีถึงเพียงนั้น

ตามที่นางเห็น แม้ฉยงเหนียงผู้นี้จะมีชะตาที่เต็มไปด้วยเคราะห์กรรม พริบตาเดียวต้องร่วงตกลงมาจากชั้นเมฆ ทว่าความคิดอ่านและความสามารถที่อยู่ภายในมีหรือที่ชุดกระโปรงเนื้อหยาบกับปิ่นไม้จะบดบังได้ หลังจากนางชมดูฝีมือวาดภาพของฉยงเหนียง แล้วหันหน้ามาพินิจอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าทั้งยามมุ่นคิ้วและแย้มยิ้มล้วนแต่แฝงด้วยลักษณะเฉพาะตัวของอีกฝ่าย

ก่อนจากองค์หญิงยงหยางคิดอย่างกลัดกลุ้มใจอยู่บ้าง…ไม่รู้งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ ในหมู่คุณหนูตระกูลขุนนางที่สวมอาภรณ์แพรพรรณอันงามวิจิตรกลุ่มนั้นจะเสาะพบยอดหญิงเช่นนี้มาเป็นสหายผู้รู้ใจได้สักคนหรือไม่

อันที่จริงองค์หญิงยงหยางอยากจะรั้งอยู่อีกสักพักยิ่งนัก จะได้สนทนากับฉยงเหนียงอีกสักหลายประโยค ทว่าระหว่างนั้นพ่อบ้านจวนหลางอ๋องแวะเข้ามาในเรือนถึงสามหนอย่างพิลึกคน เพื่อจะเตือนฉยงเหนียงว่าตอนกลางวันท่านอ๋องกินไม่คล่องคอ ตอนนี้หิวอีกแล้ว ให้นางเร่งจัดการงานจิปาถะเสียให้เสร็จจะได้รีบเข้าครัวไปทำอาหาร

วาจาไล่ตะเพิดคนอย่างโจ่งแจ้งเพียงนี้ แม้แต่องค์หญิงยงหยางผู้ไม่ทันโลกก็ยังฟังออก จึงได้แต่อำลาฉยงเหนียงไปอย่างอาลัยอาวรณ์

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: