อาสดามากับโอบเกียรติ ซึ่งเป็นการออกนอกสถานที่ด้วยกันไม่บ่อยนัก แต่ครั้งนี้โอบเกียรติต้องการให้อาสดามาช่วยงานของเขาแทนวิญญูที่หน้าดุเกินกว่าจะทำให้ผู้คนไว้วางใจพอที่จะคุยกับเขาได้ ตำรวจสองนายมาถึงสถานสงเคราะห์หลังอาหารมื้อเที่ยงของเด็กเล็ก ส่วนเด็กที่ต้องเข้าโรงเรียนประถมและมัธยมนั้นยังไม่กลับ ทั่วบริเวณจึงไม่ค่อยวุ่นวายเพราะครูผู้ปกครองไม่ได้ปล่อยให้เด็กเล็กออกมาจากห้องเรียน
ทั้งสองเดินไปติดต่อที่ห้องธุรการ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแจ้งว่าผู้อำนวยการของสถานสงเคราะห์อยู่ในห้องทำงาน โอบเกียรติจึงขออนุญาตเข้าพบทันที ผู้อำนวยการเป็นหญิงสูงวัย น่าจะใกล้เกษียณเต็มทน เธอดูท่าทางใจดีและเป็นมิตรมาก นายตำรวจถูกเชิญให้เข้าไปพูดคุยธุระในห้องทำงานขนาดเล็กซึ่งไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ลมสามารถพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาได้ และพัดลมบนเพดานก็ช่วยคลายความอบอ้าวได้มากโขทีเดียว
“คุณตำรวจมีอะไรให้แม่ครูช่วยเหลือคะ”
โอบเกียรติรู้สึกถึงความอบอุ่นในน้ำเสียงนั้น “เราต้องการทราบประวัติเด็กที่เคยอยู่ที่นี่คนหนึ่งครับ”
“เขาเป็นใครเหรอคะ แล้วทำไมคุณตำรวจถึงอยากรู้”
“เธอเป็นผู้หญิงอายุยี่สิบสามปี…”
“เอ๊ะ ยี่สิบสามปี แสดงว่าออกจากที่นี่ไปนานแล้วสิคะ”
“นี่แหละครับสิ่งที่ผมอยากรู้ว่าเธอเข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อไร มีชีวิตยังไงในระหว่างอยู่ที่นี่ แล้วออกไปเมื่อไร”
“โอ ต้องการรู้ละเอียดขนาดนั้นเชียว แม่ครูไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่จะพยายามนะคะ ว่าแต่เธอชื่ออะไรแล้วไปทำอะไรไว้เหรอคะ”
“เธอชื่อนางสาววิไล ผลพยัคฆ์ครับ ขณะนี้เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีปล้นธนาคาร”
โอบเกียรติตอบแล้วยื่นรูปถ่ายของอิ๋วไปตรงหน้าแม่ครู ซึ่งตอนนี้ใบหน้าของเธอขาวซีดด้วยความตกใจ
“จะ…จริงเหรอคะ”
“ครับ แม่ครูลองดูรูปภาพนี้แล้วช่วยบอกเราได้ไหมครับว่าจำเธอได้ไหม”
ผู้อำนวยการรับภาพถ่ายนั้นมาดู ความทรงจำลางเลือนบวกกับการมีเด็กในปกครองกว่าสองร้อยคนทำให้อิ๋วกลับกลายเป็นคนที่แม่ครูจำไม่ได้
“จำไม่ได้เลยค่ะ แต่เดี๋ยวจะลองให้ครูผู้ปกครองลองเช็กประวัติให้นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
แม่ครูลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่หน้าห้องทำงานของตน มีเสียงเรียกให้ครูอีกคนมาช่วยหาประวัติของอิ๋ว จากนั้นเธอก็เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง
“ช่วงห้าปีที่ผ่านมามีการเก็บข้อมูลของเด็กไว้ในคอมพิวเตอร์ค่ะ ถ้าเธออยู่ในสถานสงเคราะห์ของเราในช่วงเวลานั้นก็จะหาประวัติเจอง่ายหน่อย แต่ถ้าไม่อยู่ก็คงต้องค้นเอกสารที่เป็นกระดาษกันนานเลย”
“ต้องรบกวนจริงๆ นะครับ เพราะเวลานี้ที่อยู่ในบัตรประจำตัวประชาชนของเธอยังเป็นที่นี่ พวกเราจึงตามได้เพียงเท่านี้”
ผู้อำนวยการถอนหายใจยาวอย่างไม่พยายามปิดบัง “นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของเราค่ะ เราพยายามจะจำหน่ายเด็กโตที่พอดูแลและเลี้ยงตัวเองได้ออกไปเพื่อให้มีที่ว่างพอที่จะรับอุปการะเด็กคนใหม่เข้ามา แต่เรื่องการจัดการกับเด็กแต่ละคนนั้นต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์เดียวกันได้ทั้งหมด เพราะศักยภาพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าคุณตำรวจบอกว่าเด็กคนนี้ยังใช้ที่อยู่ของสถานสงเคราะห์อยู่ก็แสดงว่าเธอยังจัดการชีวิตใหม่ของเธอได้ไม่ดีนัก”
นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด
“ปัญหาสังคมนะครับ แม่ครูอยู่ตรงนี้คงต้องรับรู้อยู่ทุกวัน”
“ค่ะ เราก็พยายามทำทุกอย่างตามกำลังความสามารถ แต่มันคงยังไม่ดีพอ ไม่อย่างนั้นเด็กของเราคงไม่ก่ออาชญากรรมใช่ไหมคะ”
โอบเกียรติกับอาสดายังไม่ทันตอบ ครูผู้ช่วยก็ขออนุญาตเข้ามาในห้องพร้อมกระดาษในมือหนึ่งแผ่น
“เจอแล้วค่ะแม่ครู เธอเพิ่งออกจากสถานสงเคราะห์ไปได้สามปี”
“เอามาให้คุณตำรวจดูสิจ๊ะ”
ในกระดาษนั้นมีข้อมูลวันเดือนปีเกิด ชื่อบิดามารดา วันที่เธอเข้ามาอยู่ในสถานสงเคราะห์และวันที่เธอออกไป นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่ตำรวจกำลังมองหา
“พี่ชาย…เธอมีพี่ชายด้วยใช่ไหมครับ”
อาสดาเป็นคนเห็นชื่อนายวัลลภก่อน เขาดึงเอกสารในมือของโอบเกียรติไปให้แม่ครูดูอย่างรวดเร็ว
“ในนี้บอกว่าเข้ามาอยู่ในสถานสงเคราะห์พร้อมพี่ชายด้วย แล้วมันสำคัญยังไงเหรอคะ”
โอบเกียรติเป็นคนตอบ “พี่ชายของเธอเป็นคนร้ายในคดีเดียวกันครับ ตอนนี้เขาเสียชีวิตแล้ว”
แม่ครูยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ อาสดาตั้งคำถามอีก
“ถ้าเขาสองคนเข้ามาอยู่ที่นี่พร้อมกันก็น่าจะออกไปพร้อมกันด้วยรึเปล่าครับ”
“อันนี้แม่ครูไม่แน่ใจนะคะ” เธอหันไปหาครูผู้ช่วยคนเดิม “เธอไปค้นประวัติของนายวัลลภมาด้วยซิ”
“ผมไปด้วยดีกว่า”
อาสดาหันไปขออนุญาตแม่ครู เธอพยักหน้าทันทีแล้วมองตามนายตำรวจหนุ่มจนลับประตูห้อง
“ไหนคุณตำรวจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังอย่างละเอียดได้ไหมคะ”
“ได้ครับ”