ปารุสก์เป็นคนเดียวที่ถูกทิ้งไว้ในห้องทำงาน เขายังคงเก็บรวบรวมหลักฐานและคำให้การของพยานอยู่ เพื่อให้วุฒิภาศสะดวกในการเขียนสำนวน โทรศัพท์ของหน่วยงานส่งเสียงดังขึ้นขัดจังหวะ ชายหนุ่มจึงลุกจากเก้าอี้ไปรับซึ่งตำแหน่งที่มันวางอยู่นั้นใกล้โต๊ะทำงานของหัสยุทธมากที่สุด
“สวัสดีครับ NIC ครับ ผมปารุสก์รับสาย”
“พี่รุสก์”
“เอ้า น้องพจคนสวย ว่าไงจ๊ะ จะส่งรายงานฉบับเต็มเหรอ”
“ค่า เดี๋ยวส่งแฟ็กซ์ไปให้ก่อน สารวัตรของพี่มาเร่งยิกๆ ทั้งเช้าทั้งเย็น”
“หือ? เมื่อไรกัน”
“เมื่อวานสิ มาทั้งเช้าทั้งเย็นเลย ตอนเช้าก็มาแต่เช้า นั่งรอหมอบุษคุยกันนิดหน่อยแล้วก็กลับไป ส่วนตอนเย็นมาตอนค่ำหน่อยแล้ว บอกว่าจะพาหมอไปเลี้ยงข้าวด้วย แต่ไม่รู้สำเร็จไหมนะ พจกลับบ้านก่อน”
“ว้า น้องพจไม่ยอมสวมวิญญาณนักสืบเลย”
“ไม่เอาอะ กลัวหมอบุษด่า”
คนทั้งคู่หัวเราะให้กันอย่างรู้ทันเจ้านายของตน
“นี่พี่อยู่คนเดียวในหน่วย ทุกคนไปทำงานข้างนอกหมด”
“อื้ม รอแฟ็กซ์แล้วกัน ฉบับจริงจะตามไปทีหลัง”
“ครับผม ขอบคุณมากครับ”
ปารุสก์วางสายโทรศัพท์ลงแล้วเคลื่อนกายไปยืนรอที่หน้าแฟ็กซ์ ไม่ถึงนาทีเอกสารก็ทยอยพิมพ์ออกมาจากเครื่อง ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เขารู้มาแล้วเพราะเจ้านายกรุณาไปรับข้อมูลมาให้ล่วงหน้า ซึ่งนั่นอาจจะเป็นข้ออ้างเพื่อไปเจอหน้าหมอบุษบงกชแต่เขาไม่กล้าพูด
ชายหนุ่มอ่านรายงานด้วยความใจเย็นแล้วกลับมาที่คอมพิวเตอร์ของตัวเอง คดีนี้มีเรื่องให้เขาเก็บลักษณะพิเศษมากมาย เริ่มจากอาวุธปืนที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง รอยสักรูปงู การสักตัวอักษรภาษาอังกฤษบนข้อมือ และการควบคุมตัวประกันโดยใช้กุญแจมือพันธนาการข้อมือและข้อเท้าของคนสองคนเข้าด้วยกันเพื่อให้การช่วยเหลือทำได้ช้าลง
ในโปรแกรมแผนที่ของเขา ปารุสก์เริ่มพล็อตที่อยู่ของผู้เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด ตั้งแต่ที่อยู่ของคนร้าย พนักงานธนาคาร และลูกค้าที่เข้ารับบริหารในระหว่างเกิดเหตุ รวมถึงสถานที่เกิดเหตุเพื่อหาความสัมพันธ์ที่นักสืบอาจจะยังมองไม่เห็น แล้วจุดจุดหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันอย่างมีนัยสำคัญนั้นก็ทำให้ปารุสก์สงสัย
“เอ๋…ที่อยู่ของนายวัลลภกับนายวิรุฬนี่ไม่ห่างกันเลยนะ”
ชายหนุ่มคีย์ชื่อและที่อยู่ของวิรุฬในโปรแกรมการสืบค้นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหาว่าเขาเคยถูกจับ ถูกปรับ หรือเคยเป็นผู้เสียหายในคดีใดบ้างหรือไม่ แล้วในที่สุดใบแจ้งความใบหนึ่งก็เด้งขึ้นมา
“เคยถูกโจรขึ้นบ้านเหรอ มีทรัพย์สินบางส่วนหายไปด้วย พระเครื่อง เงินสด โทรศัพท์มือถือ…แล้วจับตัวคนร้ายได้ไหมวะ” เขาใช้เลขที่ใบแจ้งความหาคำตอบต่อ แต่ไม่มีอะไรปรากฏขึ้น “จับคนร้ายไม่ได้แฮะ อย่างนี้ก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่เกี่ยวกับนายวัลลภสิ”
ชายหนุ่มร่างอวบถอนหายใจ แต่ก็ได้รู้เรื่องหนึ่งว่าที่อยู่ของวิรุฬกับวัลลภนั้นเรียกได้ว่าอยู่ในละแวกเดียวกันเลยทีเดียว
อาสดาเสียเวลากับการค้นหาเอกสารมากพอสมควร เพราะประวัติของวัลลภนั้นถูกแยกออกจากวิไล น้องสาวของเขาหลายปีแล้ว ชื่อของวัลลภถูกคัดออกจากสถานสงเคราะห์เนื่องจากเขาถูกรับไปเลี้ยงดูโดยสามีภรรยาคู่หนึ่ง ตั้งแต่มีอายุได้หกขวบ
“ถ้าพี่หกขวบ ตอนนั้นน้องก็ต้องสามขวบ” โอบเกียรติพูดกับแม่ครูและอาสดา
“แม่ครูครับ ถ้าเด็กเล็กขนาดนั้นถูกจับแยกออกจากกัน โตขึ้นพวกเขาจะจำกันได้ไหมครับ”
“ยากมากค่ะ ยิ่งถ้าไม่มีการติดต่อกันด้วยแล้วยิ่งยาก พ่อแม่อุปถัมภ์บางคนไม่ชอบให้ลูกที่เขารับเลี้ยงกลับมาที่สถานสงเคราะห์นะคะ แต่แม่ครูก็ไม่ทราบสาเหตุที่เขาไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลตามพ่อแม่อุปถัมภ์นะ แปลกจัง”
“แล้วสองคนนี้ไปพบกันอีกครั้งตอนไหนนะ” โอบเกียรติรำพึงก่อนจะหันไปหาผู้อำนวยการ “วันนี้เราคงรบกวนแม่ครูเท่านี้นะครับ”
“ยินดีค่ะ ถ้าเรามีเบาะแสของเธอเพิ่มเติมเราจะแจ้งคุณตำรวจไปนะคะ ยิ่งรู้ว่าเธอตั้งท้องด้วย แม่ครูก็รู้สึกเป็นห่วง ไม่น่าเลยจริงๆ”
นายตำรวจทั้งสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมกันแล้วทำความเคารพครูอาวุโสก่อนลากลับ เมื่อออกมาที่หน้าห้องทำงานของแม่ครูโอบเกียรติกับอาสดาก็เห็นครูผู้ช่วยยืนคุยอยู่กับผู้หญิงอีกคน เธอดูกระตือรือร้นเมื่อเห็นนายตำรวจทั้งสองออกมาจากห้องทำงานของแม่ครูจนอาสดาสงสัย
“มีธุระอะไรกับเรารึเปล่าครับ”
“เอ่อ คือดิฉันเพิ่งคุยกับครูผู้ช่วยค่ะ เรื่องของเด็กผู้หญิงที่คุณตำรวจกำลังตามหา”
“คุณรู้จักเธอเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ แต่ฉันเห็นรูปที่คุณตำรวจเอามาให้แม่ครูกับครูผู้ช่วยดู”
อาสดาควักรูปถ่ายของวิไลขึ้นมาอีกครั้ง “รูปนี้เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ คนนี้แหละ เธอเพิ่งมาที่นี่ค่ะ ดิฉันได้คุยกับเธอด้วย เธอบอกว่าจะมาฝากจดหมายไว้ให้คนรู้จัก ตอนแรกฉันไม่รับฝาก เธอเลยขอพบแม่ครัวของที่นี่ค่ะ”
“แม่ครัว? พวกเราขอพบแม่ครัวคนนั้นได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ ดิฉันจะพาไปเอง”