LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 10-บทที่ 11
“นางสาวมัลลิกา ลีหะนุตเป็นอะไรกับคุณครับ”
“ฮะ…ฮ้า ใครนะครับ ผมไม่รู้จัก” วิรุฬส่ายหน้าเป็นพัลวัน
ถวิลอ่านเอกสารที่อยู่ในมือของเขาฉบับหนึ่งด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “นางสาวมัลลิกามีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จำนวนสองบัญชี ซึ่งหนึ่งในสองบัญชีนั้นได้รับการโอนเงินจากคุณเป็นประจำทุกเดือน ส่วนอีกบัญชีมีการเคลื่อนไหวของเงินตลอดเวลา ฝ่ายตรวจสอบพบว่าบัญชีนี้เป็นบัญชีที่เปิดไว้เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ และโดยการตรวจสอบกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นางสาวมัลลิกา ลีหะนุตเป็นนักเล่นหุ้นในตลาดทุนและตลาดทองคำ คราวนี้พอจะจำได้รึยัง”
เหมือนปลายทางของอุโมงค์ถูกปิดตาย ไม่มีแสงสว่างใดส่องลอดออกมาได้ วิรุฬเริ่มก้มหน้าต่ำกว่าเดิม ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับใคร ความกลัวที่ถูกกดไว้นานเป็นปีกำลังจะถูกเปิดเผยออกมา เขากำลังจนตรอก…
“และผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพนักงานในสาขาของคุณ…ใช่ไหม” ถวิลถามย้ำแต่ก็ยังคงไม่มีคำตอบ “เกินเยียวยาจริงๆ ผมให้โอกาสคุณในการรับสารภาพ แต่คุณก็ยังอุตส่าห์โยนความผิดไปให้คนอื่น”
“ผะ…ผม… ท่านเห็นใจผมเถอะครับ ผมผิดไปแล้ว” ร่างอวบนั้นสั่นเทิ้ม ไม่มีใครเห็นว่าเขาร้องไห้ แต่หัวไหล่ที่ลู่ลงกับใบหน้าที่ก้มต่ำแทบจะชิดทรวงอกนั้นบอกให้รู้ว่าเขากำลังสำนึกผิด “ท่านน่าจะเห็นแก่สิ่งที่ผมทำเพื่อธนาคารบ้าง ถ้าวันนั้นผมไม่ช่วยเหลือพนักงานกับลูกค้าก็อาจจะมีคนตาย ธนาคารก็จะพลอยเสียชื่อเสียงไปด้วยนะครับ”
คำพูดของเขาเพิ่มความโกรธให้ถวิล ผู้จัดการเขตไม่ตอบโต้วิรุฬด้วยคำพูดแต่เขากลับกดอินเตอร์คอมที่โต๊ะเพื่อเรียกเลขานุการของตน
“เชิญสารวัตรหัสยุทธเข้ามาข้างในได้”
การที่ตำรวจถูกเรียกตัวมาอีกครั้งนั้นทำให้วิรุฬเสียขวัญมากกว่าเดิม เพราะเขาไม่คิดว่าธนาคารจะเรียกตำรวจมาจับกุมเขาทันทีอย่างนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบสองคนถอยออกจากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของถวิลแล้วไปนั่งรอที่โซฟารับแขก เพื่อให้ตำรวจทำงานได้ถนัดขึ้น หัสยุทธเดินเข้ามาในห้องนั้นพร้อมกับวุฒิภาศ วิรุฬจำนายตำรวจหนุ่มทั้งคู่ได้ดี คนหนึ่งช่วยชีวิตเขาจากปลายกระบอกปืนของคนร้ายที่ถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนอีกคนเพิ่งสอบปากคำเขาไปเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทักทายหรือทำความเคารพใครในห้องเลย คล้ายกับว่าพวกเขาได้พบกันมาก่อนหน้านี้แล้ว
“ผมอยากให้คุณตำรวจช่วยแจ้งข้อกล่าวหาผู้จัดการของเราตอนนี้เลย” ถวิลพูดขึ้นอย่างเหลืออด
“อะไรกันครับ จะแจ้งข้อหาอะไรผม”
หัสยุทธกับวุฒิภาศไม่ได้นั่ง เขายืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ของวิรุฬซึ่งหันมามองคนทั้งคู่ด้วยความระแวง
“ยักยอกทรัพย์ที่เป็นส่วนของธนาคาร และสมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายในการปล้นธนาคารของตัวเอง”
หัสยุทธสรุปสั้นๆ แต่คนฟังแทบคลั่งโดยเฉพาะข้อกล่าวหาข้อหลัง คราวนี้ความกลัวยิ่งรุนแรงขึ้น วิรุฬลุกขึ้นยืนทันทีจนวุฒิภาศจำเป็นต้องเข้าไปกุมตัวเขาไว้
“ใจเย็นๆ ผมยังไม่อยากใส่กุญแจมือคุณตอนนี้”
“ปล่อย ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
หัสยุทธจ้องตาของเขาอย่างเอาเรื่อง “วิไลสารภาพแล้วว่าคุณเป็นคนจ้างวานให้พวกเขาปล้นธนาคาร โดยมีข้อแม้ว่าถ้าไม่ช่วย คุณจะส่งตัวสามีของเธอให้ตำรวจ”
“วิไลไหน ผมไม่รู้จัก”
“ผู้หญิงที่เป็นตัวประกันเหมือนคุณไงครับ ไม่รู้จักได้ยังไงในเมื่อคุณสนับสนุนการแปลงโฉมของเธอทุกอย่าง”
“พวกคุณอย่ามามั่วโยนความผิดให้ผมดีกว่า ผมอาจจะเอาเงินของธนาคารไปใช้ก็จริง แต่เรื่องปล้น ผมไม่รู้เรื่อง อย่าเอาคุกมาให้ผมสิคุณถวิล”
คนถูกพาดพิงลุกขึ้นยืนบ้าง เขาเดินออกจากโต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อมาเผชิญหน้ากับวิรุฬ
“ผมไม่มั่วแน่ กว่าที่เราจะเชิญคุณมาในวันนี้เราทุกคนทำงานกันหนักมาก ทั้งฝ่ายธนาคาร ฝ่ายตำรวจ เรามีหลักฐานทุกเรื่อง”
“หลักฐานอะไร” เขายังคงท้าทาย
หัสยุทธช่วยตอบ “คุณมีปัญหาเรื่องการเงิน คุณทุจริตแล้วพยายามปกปิดมันด้วยการสร้างเรื่องที่ใหญ่กว่าเพื่อเลื่อนการตรวจสอบออกไปอย่างน้อยก็สามถึงหกเดือน แล้วในระหว่างนั้นคุณคิดว่าจะสามารถหาเงินมาใช้คืนได้ทัน คุณพยายามให้คนร้ายนำเงินสดออกไปให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่พนักงานเองก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีเงินในลิ้นชักทั้งหมดเท่าไร คุณต้องการให้ทุกอย่างดูคลุมเครือและตรวจสอบได้ยากเพื่อโยนความผิดให้เป็นเรื่องของการปล้น แต่คุณกลับขุดหลุมฝังตัวเองด้วยวิธีการดังกล่าว เพราะมันซับซ้อนเกินกว่าที่เด็กบ้านแตกสักคนหรือสองคนจะคิดได้ พวกเขาเป็นแค่โจรลักเล็กขโมยน้อย แต่คุณกลับสร้างให้พวกเขาเป็นนักปล้นธนาคาร แล้วมองดูพวกเขาถูกวิสามัญฆาตกรรมไปต่อหน้าต่อตา”
นายตำรวจร่างใหญ่กัดฟันพูด เขานึกรังเกียจความเห็นแก่ตัวของคนที่สังคมเห็นว่ามีพร้อมทุกอย่าง แต่กลับเอารัดเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าตนเองทุกด้าน
“ตอนนี้ตำรวจกำลังเชิญตัวคุณมัลลิกามาพบเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม”
“อย่ายุ่งกับเขา!” วิรุฬเพิ่งเริ่มมีอารมณ์โกรธ
“ทำไม…เธอสำคัญยังไง”
“อย่ายุ่งกับเธอ เธอไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้”
“เกี่ยวสิ ถ้าเธอรับเงินที่คุณทุจริตไปจากธนาคาร เธออาจจะเข้าข่ายฟอกเงินก็ได้ เรารู้มาว่าเธอมีทรัพย์สินที่เป็นคอนโดมีเนียม ห้องเช่า ที่ดิน และรถยนต์อีกสองคัน คุณรู้เรื่องนี้ไหม”
วิรุฬสะบัดตัวน้อยๆ เพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมของวุฒิภาศ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง เขาเริ่มร้องไห้และเป็นการร้องแบบไม่เหลือมาดของนักบริหารทางการเงินอีกต่อไป