X
    Categories: With Loveทดลองอ่านเจ้าสาวสโลว์ไลฟ์

ทดลองอ่าน เจ้าสาวสโลว์ไลฟ์ บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 6

ภรรยาป้ายแดง

โคกเสือเผ่นเป็นชุมชนขนาดเล็ก ผู้คนที่นี่ล้วนเป็นคนพื้นถิ่น รู้จักมักจี่กันมาตั้งแต่เกิด มีความผูกพันในชุมชนสูง ดังนั้นข่าวการจดทะเบียนสมรสระหว่างหมอปาลกับอิศยาในเช้าวันรุ่งขึ้นที่อำเภอจึงดังกระฉ่อนไปทั่วโคกเสือเผ่น และทำให้ผู้เป็นป้าบุกมาวีนหลานสาวถึงบ้าน

“แกคิดจะทำอะไรของแก นังเอ๋ย!”

นงพะงาตวาดแว้ดทันทีที่เจอหลานสาวในบ้าน ทว่าอิศยากลับวางสีหน้าเรียบเฉย เพราะเธอคาดเดาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายคงมาตามราวีแน่นอน แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้

“เอ๋ยกับหมอปาลรักกันก็เลยจดทะเบียนสมรสกัน ไม่เห็นแปลกตรงไหนนี่คะ”

“พวกแกคบกันตั้งแต่เมื่อไร ทำไมคนทั้งโคกเสือเผ่นถึงไม่รู้”

“แล้วทำไมเอ๋ยต้องป่าวประกาศให้คนทั้งโคกเสือเผ่นรู้ว่าคบกับหมอปาลล่ะคะ”

“โกหก! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกกับหมอปาลคบกัน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย แกคิดจะใช้หมอปาลเป็นกันชนใช่ไหม แกคิดเหรอว่าหมอใช้ทุนจะมีปัญญาใช้หนี้หลายล้านได้”

“เอ๋ยไม่รู้ว่าป้านงพูดเรื่องอะไร หนี้ก็ส่วนหนี้ มันเกี่ยวอะไรกับการที่เอ๋ยแต่งงานกับหมอปาลล่ะคะ”

“หรือว่าแกกับหมอปาลแอบกินกันแล้วแกท้องขึ้นมา หมอปาลก็เลยต้องจดทะเบียนกับแก”

“ก็ไม่รู้สิคะ”

อิศยาโกหกคำโตพลางเหลือบมองใครบางคนที่กำลังยืนนิ่วหน้าอยู่หน้าประตูบ้าน คนหัวโบราณอยู่ในกรอบอย่างหมอปาลคงไม่พอใจที่เธอทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียหาย

เธอเดินเบี่ยงไปรับหมอปาลที่หน้าประตู พยายามส่งสายตาลุแก่โทษ แต่เขากลับใช้ความเงียบข่มจนเธอตัวหดเล็กลง

“อ้อ หมอปาลมาพอดี ฉันมีเรื่องจะคุยกับหมอเหมือนกัน”

“ผมก็มีเรื่องจะคุยกับคุณนงเหมือนกันครับ”

“เรื่องจดทะเบียนนี่มันอะไรกัน ฉันเป็นป้าของนังเอ๋ย ทำไมฉันไม่รู้ หมอไม่คิดจะมาขออนุญาตฉันรึไง”

“เอ๋ยอายุยี่สิบปีแล้ว ในทางกฎหมายถือว่าบรรลุนิติภาวะ มีสิทธิ์จดทะเบียนสมรสได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองยินยอมนะครับ”

“อ๋อ หมอคงเห็นว่าถมยามันตายแล้วเลยคิดจะหลอกนังเอ๋ยล่ะสิ นังเอ๋ยยังเด็ก หนังสือหนังหาก็ไม่ยอมเรียน มันถึงได้โง่โดนหมอจูงจมูก ถึงยังไงฉันก็เป็นญาติคนเดียวของมัน ฉันไม่เห็นด้วยกับการจดทะเบียนสมรส พรุ่งนี้ฉันจะไปแจ้งความ”

อิศยาหน้าซีดเผือด หันขวับมองหมอปาลราวกับขอความช่วยเหลือ

“คุณนงชอบอ้างกับใครต่อใครว่าเป็นญาติเอ๋ย แต่ผมสอบถามจากลุงกำนันซึ่งเป็นคนพื้นที่ รู้จักกับลุงถมมาตั้งแต่เด็ก ลุงกำนันบอกว่าคุณนงกับลุงถมไม่ได้เกี่ยวดองกันทางสายเลือด เพียงแต่ลุงถมให้เกียรตินับเป็นญาติเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันทั้งทางตรงและทางอ้อม การอ้างลอยๆ ไม่มีผลทางกฎหมายหรอกนะครับ”

นงพะงาขบฟันกรอด ถลึงตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคู่กรณี

ที่จริงตนแค่รู้จักน้องสาวของแม่ถมยาตอนอยู่เชียงใหม่ พอต้องย้ายหนีตำรวจเรื่องเงินกู้มาหลบภัยที่โคกเสือเผ่นก็เลยให้น้าของถมยาซึ่งเคยเป็นลูกหนี้ตนช่วยติดต่อถมยาให้ช่วยจัดแจงหาที่อยู่ให้

จากนั้นก็รู้จักมักจี่ มีเงินก็ให้ถมยาหยิบยืม แกล้งทำเป็นลืมทวงบ้างเพราะอยากเลี้ยงมันไว้ใช้งาน คนซื่ออย่างมันจะไปดูออกได้อย่างไร มันจึงนับถือเธอเหมือนญาติ แต่ไม่คิดเลยว่าไอ้หมอแว่นมันจะสืบรู้เข้าจนได้

“กำนันพุกจะไปรู้อะไร ฉันต้องกรีดเลือดสาบานกับนังเอ๋ยด้วยไหมล่ะ หมอถึงจะเชื่อว่าฉันเป็นญาติมัน”

“ไม่ต้องกรีดเลือดสาบานหรอกครับ แค่เจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอก็รู้แล้ว”

“โอ๊ย ฉันไม่ว่างไปตรวจหรอก ยุ่งมาก เดือนหน้าโน่นแน่ะฉันถึงจะว่าง”

หมอปาลกระตุกยิ้มหยัน ถึงวันนั้นอิศยาก็ถูกขายให้เสี่ยซ้งไปแล้วน่ะสิ

“ที่จริงไม่ต้องลำบากไปเจาะเลือดก็ได้ครับ แค่เส้นผมเส้นเดียวก็ตรวจได้แล้วครับ”

นงพะงาผงะเมื่อถูกหมอหน้าตายต้อนเสียจนมุม แต่ถ้าหากจะต้องเสียเงินก้อนโตจากเสี่ยซ้ง เจ้าแม่เงินกู้อย่างนงพะงาไม่มีวันยอม

“จู่ๆ จะมาแตะเนื้อต้องตัวฉันได้ยังไง ฉันฟ้องได้นะ”

“คุณนงก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องเอ๋ยเหมือนกันครับ ตอนนี้เอ๋ยเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม เพราะฉะนั้นผมมีสิทธิ์ปกป้องภรรยาของผมจากคนที่คิดร้ายกับเธอ”

“ฉันจะแจ้งความว่าหมอพรากผู้เยาว์”

“มันต้องอายุไม่เกินสิบแปดปีครับ แต่เอ๋ยยี่สิบแล้ว”

“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ มันอาจถูกหมอปาลหลอกไปจดทะเบียนก็ได้ มันยิ่งโง่ๆ เซ่อๆ อยู่ด้วย”

“ผมถึงได้เชิญกำนันพุกกับป้าดาวเรืองซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของโคกเสือเผ่นไปเป็นสักขีพยานด้วยไงครับ คนในโคกเสือเผ่นต่างนับถือกำนันพุกมาก แถมกำนันยังสนิทสนมกับลุงถมยามาตั้งแต่เล็ก คนที่นี่ล้วนรู้เรื่องนี้ดี”

มิน่าล่ะอิศยาถึงเจอลุงกำนันกับป้าดาวเรืองที่อำเภอแต่เช้า แล้วก่อนจดทะเบียนสมรสทั้งสองยังซักไซ้ไล่เลียงเสียละเอียดยิบถึงยอมเป็นพยานรับรู้การจดทะเบียนสมรสของเธอกับหมอปาล

หมอปาลน่าทึ่งเป็นบ้าเลย เป็นผู้ใหญ่มันดีอย่างนี้นี่เอง ทำอะไรก็รอบคอบ มีแผนการรองรับเสร็จสรรพ

“จดทะเบียนแล้วยังไงล่ะ ถ้าไม่มีปัญญาใช้หนี้ ฉันก็ยึดบ้านและบีบให้นังเอ๋ยมันใช้หนี้ส่วนที่เหลืออยู่ดี อย่าคิดว่าจะหัวหมอได้คนเดียว ฉันก็มีเส้นสายมีทนาย ไม่ใช่จะมารังแกกันง่ายๆ”

“ผมมาเจอคุณนงวันนี้ก็จะมาคุยเรื่องหนี้ก้อนนั้นเหมือนกันครับ”

“อย่าคิดว่าฉันจะยกหนี้ให้ เงินไม่ใช่บาทสองบาท แล้วก็ไม่ต้องต่อรอง สลึงเดียวฉันก็ไม่ลดให้”

หมอปาลยังคงรักษาสีหน้าเยือกเย็นไว้ได้ไม่เปลี่ยนทั้งที่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ อิศยานึกเห็นใจเขาขึ้นเป็นกอง หากไม่ได้หมอปาลคอยช่วย เธอก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับป้าใจร้ายอย่างไรดี

“ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ”

ชายหนุ่มนึกถึงเอกสารกู้เงินของลุงถมยาที่เขาเอากลับไปอ่านเมื่อวันก่อนและปรึกษาทนายของที่บ้านก็พบว่าเป็นเอกสารกู้เงินที่มีผลทางกฎหมาย ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากชดใช้หนี้ที่ลุงถมยาก่อไว้แทนภรรยาป้ายแดง

“เพียงแต่วันนี้ผมไม่ได้เตรียมเงินมาด้วย ก็เลยจะ…”

“ไม่มีเงินก็ไม่ต้องมาคุย นังเอ๋ยต้องชดใช้หนี้ตามที่ฉันสั่ง”

“ยังไม่ถึงเดดไลน์สามอาทิตย์ไม่ใช่เหรอครับ ผมอยากจะขอเวลาคุณนงอีกสักหน่อย”

นงพะงาแค่นหัวเราะหยัน แค่หมอใช้ทุนกระจอกๆ จะมีปัญญาหาเงินล้านมาคืนทันได้อย่างไร ถึงจะยึดบ้านแล้วก็ยังเหลือหนี้อีกล้านกว่าบาท

“ได้สิ จะพรุ่งนี้ วันมะรืนก็ได้ แต่ต้องไม่เกินกำหนด”

นงพะงากระชับกระเป๋าถือพลางเชิดหน้า

“ดูแลตัวเองให้ดีล่ะนังเอ๋ย ครบกำหนดเมื่อไรฉันทวงหนี้แกทบต้นทบดอกแน่”

นงพะงากลับไปแล้ว อิศยาจึงผ่อนลมหายใจออกมา เธอแทบกลั้นหายใจไว้ด้วยซ้ำตอนชมมวยคู่เอกปะทะกัน คนหนึ่งถนัดรุก ส่วนอีกคนก็หลบซ้ายป่ายขวาก่อนจะเสยหมัดฮุคเข้าเต็มแรงจนฝั่งตรงข้ามหน้าหงาย

เธอนั่งลงตรงข้ามหมอปาล จดจ้องท่าทีสง่าและเยือกเย็นของเขาอย่างชื่นชม เดาไม่ถูกว่าแววตาดำจัดหลังกรอบแว่นนั้นซ่อนความคิดใดไว้ รู้แต่ว่ามันดุดันและชวนขนลุกพิกล

“ย้ายไปอยู่บ้านฉันนะเอ๋ย”

“คะ?”

“เราแต่งงานกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ตะ…แต่ว่าเอ๋ย…”

“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ฝืนใจเธอ ที่อยากให้เธอย้ายไปก็เพราะเป็นห่วง เธอเป็นผู้หญิง อยู่บ้านตามลำพังมันอันตราย ฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำเรื่องร้ายกาจอะไรอีกบ้าง”

“ไปคืนนี้เลยเหรอคะ”

“หรือจะให้ฉันนอนเป็นเพื่อนที่นี่ก็ได้”

แล้วมันต่างกันตรงไหนเล่า สรุปก็คือเราสองคนต้องนอนใต้ชายคาเดียวกันอยู่ดี ที่จริงอิศยาไม่ได้ยึดติดกับกรอบกฎเกณฑ์ของสังคมหรอก เพราะคิดว่าตนกับหมอปาลบริสุทธิ์ใจ แต่ที่คิดมากก็เพราะเธอกลัวใจตัวเองต่างหาก

ว่ากันตามตรงหมอปาลเป็นผู้ชายหน้าตาดีมากถึงมากที่สุด รูปร่างสูง ไหล่กว้างเหมือนนายแบบ แม้ไม่ได้มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แต่ไม่ว่ามุมไหนก็น่ามอง ยากจะละสายตาได้โดยง่าย

“เธอเป็นอะไรรึเปล่า เห็นจ้องฉันตั้งนาน”

อิศยาถอนสายตาจากช่วงไหล่กว้างพลางส่ายหน้ายิ้มๆ

“เปล่าค่ะ เอ๋ยก็มองโน่นมองนี่ไปเรื่อย”

หญิงสาวเม้มปาก อยากยีผมตัวเองนัก ข้ออ้างบ้าบอก็พูดออกไปได้เนอะ

“คือ…ถ้าหมอปาลจะนอนก็นอนห้องพ่อได้ไหมคะ ถือรึเปล่า”

ปาลส่ายหน้า ยิ้มบางๆ ให้กับพวงแก้มแดงเรื่อของอีกฝ่าย อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าอิศยาเขินอาย แต่ก็ไม่อยากตามใจตัวเองเกินไปนัก

“ถ้างั้นเดี๋ยวเอ๋ยขึ้นไปจัดที่นอนให้นะคะ”

“อืม ถ้างั้นระหว่างนี้ฉันกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านก่อน เธอปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อยล่ะ”

อิศยาโคลงศีรษะ เดินไปส่งหมอปาลที่หน้าประตู เขาหยุดยืนอ้อยอิ่งที่ข้างรถ ยังไม่ยอมขึ้นรถเสียที เธอฝืนสบนัยน์ตาคู่คมไม่ไหวจึงหันขวับกลับเข้าบ้านแล้วปิดประตู

“ฉันยังไม่ได้ยินเสียงล็อกกลอนเลยเอ๋ย”

เสียงทุ้มนุ่มดังจากนอกบ้าน ทำเอาหญิงสาวยกมือขึ้นกุมแก้มร้อนเห่อ แค่ให้ล็อกประตูบ้าน ทำไมต้องใจเต้นแรงแบบนี้ด้วยเล่า

เธอไม่เคยมีแฟนมาก่อน วันๆ อยู่กับท้องทุ่งกว้าง ตกปลา วิ่งไล่ผีเสื้อไปวันๆ เจอผู้ชายใจดี สุภาพอ่อนโยนแบบนี้ก็ชักรับมือไม่ถูกเหมือนกัน

“เอ๋ย!”

“ค่ะๆ ล็อกแล้วค่ะ”

หลังจากลงกลอนประตูเรียบร้อยแล้ว เธอจึงได้ยินเสียงรถยนต์เคลื่อนออกไป แล้วเหตุใดใจเธอยังเต้นไม่หยุดแบบนี้เล่า

หมอปาลหายไปเพียงชั่วโมงเดียวก็กลับมาถึงบ้านพร้อมกระเป๋าเดินทางล้อเลื่อนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก เขาคงเห็นว่าเธอจ้องกระเป๋าใบนั้นไม่วางตาจึงอธิบายเสียงเรียบ

“ส่วนใหญ่เป็นตำราแพทย์น่ะ ฉันอ่านหนังสือก่อนนอน”

“ผิดกับเอ๋ยเลย เอ๋ยไม่ชอบอ่านหนังสือ อ่านไปไม่กี่ตัวก็ง่วงแล้ว”

“ความชอบคนเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันสักหน่อย” เขายิ้มบางๆ พลางลากกระเป๋าตามเธอขึ้นชั้นบน

ห้องของลุงถมยาเป็นไม้ทรงสี่เหลี่ยม มีหน้าต่างเปิดรับลมสองบาน ตู้เสื้อผ้าวางถัดจากโต๊ะหนังสือ และเตียงนอนหลังใหญ่ตั้งอยู่อีกด้าน

ความเงียบห้อมล้อมเราสองคนอยู่ชั่วอึดใจ อิศยาก็พูดโพล่งขึ้นทำลายความอึดอัดนั้น

“พ่อชอบนอนเปิดหน้าต่างรับลม แต่เอ๋ยกลัวหมอปาลจะร้อนก็เลยเอาพัดลมเข้ามาให้ แต่ถ้าหมอปาลไม่ชิน อยากนอนแอร์ แลกห้องกับเอ๋ยก็ได้นะคะ ปกติเอ๋ยก็ไม่ค่อยนอนเปิดแอร์อยู่แล้ว”

หมอปาลเหลียวมองรอบๆ ห้องก่อนส่ายศีรษะ

“ไม่เป็นไร ฉันนอนได้ ถามจริงๆ นะ เธออยากเก็บบ้านหลังนี้ไว้ไหมเอ๋ย”

“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร”

อิศยาตอบไม่เต็มเสียงนัก เธอเกิดที่บ้านหลังนี้ อยู่ที่นี่มาตั้งยี่สิบปี จะบอกว่าไม่ผูกพันเลยก็คงไม่ได้ แต่เธอเป็นลูกหนี้ จะเรื่องมากกับเจ้าหนี้ก็คงไม่เหมาะสม

“เธอพูดกับฉันตามตรงได้นะ ฉันจะได้วางแผนถูก”

“ที่จริงมันก็แค่อิฐแค่ไม้ เอ๋ยไม่ซีเรียสหรอกค่ะ หมอปาลไม่ต้องกังวล”

“ถ้างั้นฉันจะให้ทนายจัดการเคลียร์หนี้ให้ คงใช้เวลาอีกสักสองวัน เราถึงย้ายไปอยู่บ้านพักของฉัน เธอโอเคใช่ไหม”

“ค่ะ เอ๋ยโอเค”

อิศยาตอบรับอย่างว่าง่าย เพราะไม่รู้จะเรื่องมากไปทำไม ดึงดันไปก็เหนื่อยและเปลืองสมอง เธอชอบชีวิตเรียบง่าย ไม่ยุ่งยากมากกว่า

“หมอปาลอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวเอ๋ยลงไปทำอาหารก่อน”

“ให้ฉันไปช่วยดีกว่า”

“ไม่เป็นไรค่ะ เอ๋ยเป็นภรรยาของหมอปาลแล้วนะคะ”

ถ้อยคำแสนเรียบง่ายตรึงฝีเท้าปาลให้อยู่กับที่ ดวงหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระเด็นออกมานอกอกเมื่อได้ยินเสียงหวานใสยอมรับว่าเขาคือสามีของเธอ

“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวฉันตามลงไป”

ปาลใช้เวลาเกือบสิบนาทีกับหนังสือหน้าเดิม นัยน์ตาดำจัดจับจ้องตัวหนังสือ แต่หัวใจกลับลอยตามภรรยาลงไปถึงชั้นล่างเสียแล้ว ในเมื่ออ่านเท่าไรก็ไม่เข้าหัว ปาลจึงปิดหนังสือแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกไปยังปลายสายพลางแจ้งจุดประสงค์ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่วายสงสัย

“เรื่องนี้คุณท่านรู้รึเปล่าหมอ”

“ไม่ต้องเรียนคุณย่าเรื่องนี้นะครับ ผมใช้เงินส่วนตัวของผมเอง เพียงแต่ผมไม่ถนัดข้อกฎหมายจึงอยากให้คุณลุงช่วยจัดแจงเอกสารให้หน่อย”

“หมอขอมาทั้งที เดี๋ยวลุงจัดการให้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เย็นเจ้าโตคงไปถึงโคกเสือเผ่น”

‘เจ้าโต’ ที่ว่าคือโชติศิริ ลูกชายของทนายประจำตระกูล และเป็นทนายฝีมือดีของบริษัทนั่นเอง

“ครับ แล้วผมค่อยโทรหานายโตอีกที”

ปาลวางสาย หลังจากนั้นไม่นานหัวคิ้วหนาก็มุ่นเข้าหากัน พอไล่เรียงคำพูดเป็นฉากๆ ได้แล้วจึงกดโทรศัพท์ไปอีกเบอร์หนึ่งแล้วเข้าประเด็นทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย

“พ่อครับ ผมจะแต่งงาน”

ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนตอบกลับมาด้วยเสียงไม่มั่นคงนัก

“ปาลแน่ใจแล้วใช่ไหมลูก”

“ครับ ผมเพิ่งจดทะเบียนกับน้องเขาวันนี้”

ปาลไม่ได้ระบุเรื่องหนี้ เขาบอกเพียงว่าตกหลุมรักภรรยาป้ายแดง แต่ตอนนี้เธอเพิ่งสูญเสียบิดาเพราะเขาเป็นต้นเหตุ ปาลจึงอยากดูแลรับผิดชอบ ผู้เป็นพ่อรับฟังจนจบก็ระบายลมหายใจออกมายืดยาว

“เด็กคนนั้นท้องรึเปล่าปาล”

“เปล่าครับ ผมไม่เคยล่วงเกินน้องเขา ผมแต่งเพราะผมรักเขาครับ”

“แต่ปาลเพิ่งรู้จักเด็กคนนี้เองไม่ใช่เหรอลูก”

“ผมรู้จักเอ๋ยมาปีกว่าแล้วครับพ่อ ผมมั่นใจว่าผมรักน้องเขาครับ”

“แล้วปาลคิดจะจัดงานเมื่อไรล่ะ”

“ภายในอาทิตย์หน้าครับ”

“ทำไมเร็วนักล่ะลูก”

“ผมขอโทษที่ฉุกละหุกไปหน่อย แต่ผมอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยครับ ไหนๆ ก็จดทะเบียนและย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว ผมไม่อยากให้เอ๋ยเสียหายครับ”

“พ่อเข้าใจแล้ว ว่าแต่ถ้าพ่อของเด็กคนนี้เสียไปแล้ว ผู้ใหญ่ฝ่ายเด็กคนนี้เป็นใคร”

“เป็นกำนันของโคกเสือเผ่นครับ ลุงกำนันกับพ่อของเอ๋ยเป็นเพื่อนรักกันครับ แต่เรื่องนี้…พ่ออย่าบอกแม่นะครับ ผมขอร้อง”

“ปาลก็รู้ว่าสักวันแม่เขาคงรู้เรื่องนี้”

“อย่างน้อยให้งานแต่งผ่านพ้นไปก่อนดีกว่าครับ”

“ปาลวางใจเถอะลูก พ่อรับปากว่าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”

“ขอบคุณครับพ่อ”

ปาลเห็นใจที่พ่อต้องเก็บงำความลับนี้จากแม่ แต่เพราะไม่ต้องการให้งานแต่งงานครั้งนี้ล่ม เขาจึงต้องทำเช่นนี้

“ปาลกลับมาเยี่ยมบ้านบ้างนะลูก ปาลก็รู้ว่าแม่เขาเหลือปาลแค่คนเดียว”

ชายหนุ่มขบริมฝีปากเมื่อจู่ๆ ก้อนสะอื้นก็แล่นขึ้นมาตีบตันที่ลำคอ ไม่ใช่เพราะแม่เหรอที่ทำให้เขาต้องเหลือตัวคนเดียว

“แค่นี้ก่อนนะครับพ่อ ผมต้องวางแล้ว”

ปาลไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถแม้จะวางสายไปแล้ว เปลือกตาหนักอึ้งปิดสนิท อารมณ์เศร้าหมองยังกรุ่นอยู่ในอก ความหมองหม่นที่เคยเผชิญหวนกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง

หลายปีมานี้ปาลคิดว่าตนเองหลบซ่อนความทรงจำขมขื่นนั้นได้แล้ว แต่เพียงได้ยินคำว่า ‘แม่’ อีกครั้ง ความหดหู่ก็ไหลทะลักพรั่งพรูออกมาราวกับตาน้ำ

การห่างบ้าน ห่างจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ไม่อาจลบเลือนอดีตไปจากหัวใจ ความเจ็บปวดยังคงซ่อนตัวรอวันแผลงฤทธิ์

ไม่เคยจางหาย…ไม่เคย!

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 64)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: