“ผมได้ดูรายการของสัปดาห์นั้นมาแล้วนิดนึง ทำไมพวกคุณถึงตัดต่อแบบนี้ ดูๆ แล้วก็สนุก แต่อาจารย์ของผมไม่ได้มีนิสัยโอเวอร์ขนาดนั้นสักหน่อย เขามีความรับผิดชอบมาก และก็อดทนกับผมมาก ไม่ได้ใจร้ายเหมือนอย่างที่เห็นในรายการขนาดนั้นสักหน่อย” เจิ้งหลินเทียนพูดอย่างไม่เห็นด้วย “เรื่องนี้พวกคุณต้องเคลียร์ปัญหาให้ผมนะ”
ในฐานะผู้กำกับและเคยคลุกคลีกับหานต้งด้วยตัวเอง เขาย่อมรู้ดีว่าหานต้งแค่มีนิสัยค่อนข้างเข้มงวดจริงจัง และก็ค่อนข้างพูดน้อยเย็นชาเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นพวกเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ขนาดนั้นอย่างที่ได้ตัดต่อไป
เจียงเหมยอิ่งยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง ตัวแข็งทื่อเหมือนเสา ไม่พูดไม่จาและก็ไม่นั่ง สักพักทุกคนก็ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนอยู่
ผู้กำกับเหลือบตามองเธอครู่หนึ่ง ถอนหายใจพลางกล่าว “เสี่ยวเจิ้ง เรื่องนี้น่ะเป็นเพราะพวกเราคิดไม่รอบคอบเอง ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าอยากได้เรตติ้ง ถึงจะถามความเห็นจากเถ้าแก่หานแล้ว และเถ้าแก่หานก็ให้เราทำรายการได้ตามสบาย แต่เราก็ทำการล่วงล้ำไป เรื่องนี้เราผิดเอง ต้องขอโทษจริงๆ นะ”
คนมุทะลุอย่างเจิ้งหลินเทียนไม่ค่อยได้สัมผัสกับคนระดับหัวหน้าที่ใช้คำพูดคำจาอย่างเป็นทางการเท่าไรนัก พอได้ยินก็นิ่งอึ้งไป ทันใดนั้นก็เกาหน้าด้วยความเกรงอกเกรงใจ “นี่…จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของพวกคุณทั้งหมดหรอก…”
“เอาอย่างนี้ เราจะแถลงการณ์บนเวยป๋อของรายการ แล้วก็จะให้คำอธิบายผ่านช่องทางอื่นๆ ด้วย” ผู้กำกับบอกวิธี จากนั้นก็แนะนำเจียงเหมยอิ่งให้เจิ้งหลินเทียนรู้จัก “อ้อใช่ นี่คือคนตัดต่อรายการของเรา แซ่เจียง”
“อ้อ สวัสดีครับ” เจิ้งหลินเทียนรีบพยักหน้า ถอดหมวกกันน็อกของตัวเองออกแล้วทักทาย
เจียงเหมยอิ่งมองเจิ้งหลินเทียน เปล่งเสียงตอบรับจากลำคอแล้วพยักหน้า
เขาไม่ได้ใส่ใจปฏิกิริยาตอบรับอันเย็นชาของเจียงเหมยอิ่งนัก แล้วมองผู้กำกับ “ดังนั้นรายการนี้เธอเป็นคนตัดต่อ?”
เจียงเหมยอิ่งเป็นคนไม่เข้าสังคม แต่ก็พอจะมองแววตาของคนอื่นเป็น
เธอมองตาผู้กำกับแล้วเอ่ยกับเจิ้งหลินเทียนว่า “รายการนี้ฉันตัดต่อเองค่ะ ต้องขอโทษด้วย เพราะความสะเพร่าของฉันเลยสร้างความวุ่นวายให้กับพวกคุณ”
เสียงของเจียงเหมยอิ่งเบามาก แต่ก็พูดชัดถ้อยชัดคำ เจิ้งหลินเทียนตั้งใจฟังก็เข้าใจ
เขารู้สึกผิดนิดหน่อย “ไม่ต้องหรอกครับ คุณเจียง ผมก็แค่มาฟีดแบ็กสถานการณ์ อันที่จริงสำหรับเราแล้วไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย”
เจียงเหมยอิ่งไม่กล่าวคำใดออกมา
ผู้กำกับพูดอีกไม่กี่ประโยคก็พาตัวเจิ้งหลินเทียนออกมาจากห้องทำงานโดยมีเจียงเหมยอิ่งตามหลัง
“เสี่ยวเจิ้ง กลับไปทักทายอาจารย์ของคุณแทนผมด้วยนะ” น้ำเสียงของผู้กำกับสุภาพอ่อนโยนมาก
เจียงเหมยอิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเกรงใจเจ้าของร้านบะหมี่เล็กๆ ธรรมดาๆ ขนาดนั้น
“ได้เลยๆ อ้อ ผู้กำกับ ในกล่องยังมีบะหมี่เนื้ออีกสองชาม อาจารย์ลงมือทำเองเลยนะครับ ให้พวกคุณก็แล้วกัน พอดีว่ามาส่งดีลิเวอรี่แล้วเขายกเลิกไปสองรายการ” เจิ้งหลินเทียนบอกก่อนจะหยิบบะหมี่เนื้อสองชามออกมาจากกล่องส่งอาหารที่อยู่ตรงมุมผนัง
พอเจียงเหมยอิ่งเห็นการกระทำของเขาก็รีบหันหลัง ผ่อนลมหายใจยาว
ผู้กำกับรับบะหมี่มาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เกรงใจจริงๆ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ”
พอส่งเจิ้งหลินเทียนกลับ ผู้กำกับก็หันกลับมามองเจียงเหมยอิ่ง เอ่ยอย่างสงสัย “หันหลังให้ฉันทำไม”
เจียงเหมยอิ่งกระแอม เมื่อไม่มีคนแปลกหน้าอยู่ในห้อง เสียงของเธอจึงชัดเจนขึ้นมาก “ผู้กำกับ ฉันทำผิดไปเหรอคะ”
“เฮ้อ แน่นอนว่าเธอทำผิด และแน่นอนว่าพวกเราก็ผิดด้วยกัน” เขากล่าวขณะวางบะหมี่ลงด้านข้าง นั่งบนเก้าอี้ของตนเองอย่างอ่อนแรงและทอดถอนใจ “ไม่ทันระวังก็ไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้าให้แล้ว ถ้าเขาไม่ยกโทษให้ พวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ”
เจียงเหมยอิ่งไม่รู้ว่าทำไมหัวหน้าถึงได้กังวลขนาดนี้ แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้ว หานต้งคนนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ไม่ควรไปตอแยแน่ๆ
โชคดีที่ตอนเธอมาอยู่ปักกิ่งก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับท่านนี้ เลยค่อนข้างคุ้นเคยกับความคิดความอ่านของเขา จึงกล่าวว่า “ผู้กำกับหลิวคะ ถ้างั้นให้ฉันไปขอโทษหานต้งต่อหน้าที่ร้านบะหมี่โหย่วเจียนดีไหมคะ ถึงยังไงฉันก็เป็นคนตัดต่อ ฉันผิดเอง”